ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1720

ตอนที่ 1720 กำลังจะออกเดินทาง
หลายคนต่างคาดเดาได้ว่า คนโหดอันดับหนึ่งจะได้เป็นราชันเซียน โดยเฉพาะคนที่อยู่ในแดนมนุษย์กษัตรา เมื่อรู้ว่าราชันเซียนยุคนี้จะต้องมาจากแดนมนุษย์กษัตราแล้วนั้น นึกถึงคนโหดอันดับหนึ่งทันที ในมุมมองของผู้บำเพ็ญตน และยอดฝีมือทุกคนของแดนมนุษย์กษัตรา โลกนี้คนที่จะเป็นราชีนเซียนได้คงมีคนโหดอันดับหนึ่งคนเดียวเท่านั้น

“ชาตินี้ นอกจากคนโหดอันดับหนึ่งที่สามารถเป็นราชันเซียนแล้ว คนอื่นๆ ล้วนแล้วแต่ไม่มีสิทธิ์ทั้งนั้น การมีสิบสามลัคนา สี่ยอดกายเซียน นอกจากคนโหดอันดับหนึ่งแล้วโลกนี้ยังจะมีใครอีก?” ต่อให้เป็นศัตรู ก็ต้องชมเปาะและยอมให้กับคนโหดอันดับหนึ่ง

“คนโหดอันดับหนึ่งจะต้องได้เป็นราชันเซียนอันดับหนึ่งตลอดกาลของเผ่าพันธุ์มนุษย์เรา!” มีเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ภาคภูมิใจในตัวเขา และกล่าวด้วยความภูมิใจในตัวเองว่า “ในอนาคต คนโหดอันดับหนึ่งจะต้องอยู่เหนือราชันเซียนเจียวเหิง ราชันเซียนหญิงหงเทียน นับแต่อดีตไม่มีใครมีคุณสมบัติมากกว่าคนโหดอันดับหนึ่งในการเป็นราชันเซียนอันดับหนึ่งตลอดกาลได้มากกว่า!”

“ราชันเซียนอันดับหนึ่งตลอดกาล…” หลายคนต้องนิ่งเงียบเมื่อได้ยินคำเรียกขานเช่นนี้ นับแต่อดีตถึงปัจจุบันเคยกำเนิดราชันเซียนมาแล้วกว่าร้อย แต่ว่า จะมีใครล่ะที่กล้ายกย่องให้เป็นราชันเซียนอันดับหนึ่งตลอดกาลกันเล่า?”

“หากจะต้องเลือกราชันเซียนอันดับหนึ่งตลอดกาลขึ้นมาจริงๆ บางทีคนโหดอันดับหนึ่งมีคุณสมบัติเช่นนี้ได้จริงๆ ราชันเซียนเจียวเหิงไม่เคยพ่ายแพ้ให้ใครตลอดชีวิต ราชันเซียนหญิงหงเทียบสยบเหล่าชั้นฟ้า แต่ สิบสามลัคนา สี่ยอดกายเซียนขั้นสมบูรณ์ อาศัยผลงานทั้งสองของคนโหดอันดับหนึ่งก็สามารถสยบพวกราชันเซียนเจียวเหิง ราชันเซียนหญิงหงเทียนได้แล้ว” รุ่นอาวุโสหลังจากนิ่งเงียบอยู่นานก็ได้เอ่ยขึ้นมา

ราชันเซียนอันดับหนึ่งตลอดกาลถือเป็นหัวข้อสนทนาที่หนักหน่วงเอาการ นับแต่อดีตเคยให้กำเนิดราชันเซียนมาแล้วไม่น้อย ราชันเซียนที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งก็มี เช่น ราชันเซียนเจียวเหิง ราชันเซียนหญิงหงเทียน ราชันเซียนเฟย ราชันเซียนเฮ่าไห่ กระทั่งราชันเซียนเทียนถูของอเวจี ล้วนแล้วแต่น่าทึ่งมากทั้งสิ้น

แต่ว่า จะมีใครกล้ายกย่องว่าเป็นราชันเซียนอันดับหนึ่งตลอดกาลกันหละ ไม่ว่าจะวิพากษ์วิจารณ์จนได้เป็นราชันเซียนอันดับหนึ่งตลอดกาล เกรงว่าก็ต้องมีคนที่ไม่ยอมรับ

ในสถานที่ดึกดำบรรพ์แห่งหนึ่งผู้ดำรงอยู่ในฐานะอมตะรุ่นดึกดำบรรพ์เมื่อได้ยินคำวิจารณ์เช่นนี้แล้ว ผู้ดำรงอยู่ในฐานะอมตะรุ่นดึกดำบรรพ์รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของอีกาทมิฬ และเข้าใจด้วยว่า หลี่ชิเย่ก็คือร่างดั้งเดิมของอีกาทมิฬนั่นเอง

ดังนั้น เมื่อผู้ดำรงอยู่ในฐานะอมตะรุ่นดึกดำบรรพ์เช่นนี้หลังจากได้ยินคำวิจารณ์เช่นนี้แล้ว ท้ายสุด เขาได้พูดขึ้นช้าๆ ว่า “เรื่องราชันเซียนอันดับหนึ่งตลอดกาล ไม่ต้องพูดถึงสิบสามลัคนา ไม่ต้องพูดถึงสี่ยอดกายเซียน อาศัยแค่ผลงานชั่วชีวิตของใต้เท้าอีกาทมิฬก็เพียงพอที่จะได้รับการยกย่องให้เป็นราชันเซียนอันดับหนึ่งตลอดกาล ต่อให้เขาไม่ได้เป็นราชันเซียนก็มีคุณสมบัติข้อนี้…”

“…นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน ใครกันเล่าที่คอยเฝ้าปกป้องเก้าแดนมาโดยตลอด ใครกันเล่าที่ต่อต้านอเวจีตลอดมา ใครกันเล่าที่ทำให้การปกครองที่มืดมิดของอเวจีสิ้นสุดลง เขาคือใต้เท้าอีกาทมิฬ! หากไม่มีใต้เท้าอีกาทมิฬ บางทีเก้าแดนอาจยังคงอยู่ในความมืดมิด! ต่อให้เป็นแดนที่สิบ เป็นใครเล่าที่รวบรวมเหล่าราชันเซียนต่อต้านกับเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพทั้งสามเผ้าของแดนที่สิบ แล้วเป็นใครที่พยายามช่วงชิงให้ได้มาซึ่งช่องว่างในการดำรงชีวิตอยู่ให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าวิญญาณเทพและอื่นๆ กว่าร้อยเผ่า แล้วเป็นใครที่ไปๆ มาๆ ระหว่างเก้าแดนและแดนสิบครั้งแล้วครั้งเล่า…”

“…การไปกลับทุกครั้งต้องทนทุกข์ทรมานสุดพรรนา! ทุกๆ ครั้งล้วนแล้วแต่เสียสละในสิ่งที่ไม่สามารถลบเลือนได้ให้กับทุกๆ เผ่าพันธุ์ แต่ผู้คนในโลกจดจำได้แค่ราชันเซียน จำได้แต่ผลงานของราชันเซียน แต่จะมีใครจำได้ว่าท่ามกลางความมืดมีคนๆ หนึ่งที่คอยปกป้องเก้าแดนเอาไว้อย่างเงียบๆ ยอมทนทุกข์ทรพมานครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์! โลกนี้มีเพียงใต้เท้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติได้รับการยกย่องว่าเป็นราชันเซียนอันดับหนึ่งตลอดกาล!”

เมื่อพูดถึงที่สุดแล้ว ผู้ดำรงอยู่ในฐานะอมตะรุ่นดึกดำบรรพ์ที่เคยรับใช้ใต้บังคับบัญชาของอีกาทมิฬมาก่อนถึงกับมีอารมณ์ฮึกเหิมขึ้นมา

ทั่วโลกน้อยคนนักที่จะรับรู้ถึงคุณูปการของอีกาทมิฬ แต่เขารู้ และเขาจดจำไว้ได้ตลอดกาล!

ในระหว่างที่หลายคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราชันเซียนอันดับหนึ่งตลอดกาลอยู่นั้น ทำให้คนบางส่วนรู้สึกไม่สบายใจนัก บรรดาผู้ที่รู้สึกเช่นนี้ก็คือดาวรุ่งที่เคยได้รับสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือกเป็นราชันเซียน บรรดาผู้มีสิทธิ์เหล่านี้ได้จัดตั้งเป็น “พันธมิตรร้อยปราชญ์แห่งเก้าแดน” แล้วในเวลานี้ พวกเขาต้องการต่อต้านผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นราชันเซียนยุคใหม่ผู้นั้น

“ฮึ ข้าไม่สนหรอกนะว่าผลงานของคนโหดอันดับหนึ่งจะเป็นเช่นใด สิบสามลัคนาก็ดี สี่ยอดกายเซียนก็ช่าง แต่การแย่งชิงชะตาฟ้าหาใช่บอกว่าคนๆ นั้นมีความแข็งแกร่งเพียงใดก็สามารถตัดสินเองได้ว่าต้องเป็นราชันเซียน มันต้องผ่านศึกแย่งชิงชะตาฟ้าครั้งสุดท้าย หากไม่มีการศึกครั้งสุดท้ายจะเรียกว่าเป็นราชันเซียนได้อย่างไรกัน” มีดาวรุ่งที่กล่าวด้วยความไม่ยอมรับ

ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าคนโหดอันดับหนึ่งแข็งแกร่งและน่ากลัวยิ่งนัก แต่ว่า กล่าวสำหรับดาวรุ่งที่เคยได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมคัดเลือกเป็นราชันเซียนแล้ว อยู่ๆ ถูกตัดสิทธิ์โดยหาเหตุผลอธิบายไม่ได้ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่สบอารมณ์แน่นอนสำหรับพวกเขา

ไม่ว่าระหว่างนั้นจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาก็ตาม เวลานี้คนโหดอันดับหนึ่งได้กลายเป็นศัตรูของทุกคน กลายเป็นเป้าหมายของทุกๆ คน

เรียกได้ว่า บรรดาดาวรุ่งของเก้าแดนที่เคยถูกตัดสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือกเป็นราชันเซียนเวลานี้มีศัตรูร่วมกัน ด้วยเพราะสาเหตุนี้เอง พวกเขาจึงได้จัดตั้งเป็น “พันธมิตรร้อยปราชญ์แห่งเก้าแดน” ขึ้นมา เพื่อต่อต้านกับคนโหดอันดับหนึ่ง

ในขณะที่ผู้คนจำนวนมากกำลังพูดคุยถึงเรื่องเกี่ยวกับราชันเซียนอยู่ ทันใดนั้น บังเกิดเสียง “ตูม…” ดังสนั่นขึ้นที่แดนมนุษย์กษัตรา เหมือนว่าท้องฟ้าเกิดแตกออกมาอย่างนั้น

จากนั้น เสียง “ตูม ตูม ตูม” ดังขึ้นเป็นระลอก เกิดโคลงแคลงสั่นไหวขึ้นมา บนท้องฟ้าได้ปรากฏเหตุการณ์ประหลาด ในเวลานี้เสมือนมีโลกอีกโลกหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างนั้น

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วเนี่ย?” หลังจากเหตุการณ์การปรากฏตัวของพรรคเซียนเหินแล้ว เวลานี้บรรดาแคว้นเจ้าลัทธิต่างรู้สึกหวาดผวาเหมือนนกที่เคยต้องธนูมาก่อน ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกตระหนกเมื่อจู่ๆ เหมือนมีโลกอีกโลกหนึ่งปรากฏอยู่บนท้องฟ้าของแดนมนุษย์กษัตรา

“ตูม ตูม ตูม” ท่ามกลางเสียงดังตูมตามเป็นระลอก ในที่สุด โลกนี้ได้ลอยอยู่บนท้องฟ้า หรือจะให้ถูกต้องมากกว่านั้นก็คือมันแขวนตั้งอยู่ใต้ชะตาฟ้า โลกนี้รออยู่ใต้ชะตาฟ้า

โลกลักษณะเช่นนี้ได้แผ่กลิ่นอายของสัตว์ดำบรรพ์ในยุคไร้ซึ่งอารยะธรรมออกมา เหมือนว่าโลกนี้จะมีสัตว์ยักษ์ดึกดำบรรพ์ยุคไร้ซึ่งอารยะธรรมจะปรากฎออกมาอย่างนั้น ขณะที่กลิ่นอายลักษณะนี้ตลบอบอวลไปทั่วแดนมนุษย์กษัตรานั้น ได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องสั่นเทา

“แดนอสูรปีอาน!” มีผู้ที่มองเห็นโลกที่แขวนอยู่บนท้องฟ้าและสามารถจดจำประวัติความเป็นมาได้ ถึงกับร้องเสียงดังออกมา

“แดนอสูรปีอาน หนึ่งในหกสถานที่ที่เซียนเคยอาศัยอยู่! มันไม่อยู่ที่แดนสมุนไพรแร่ธาตุรึ? ปรากฎตัวขึ้นที่นี่ต้องการทำอะไร?” เวลานี้หลายคนรู้สึกเหมือนตัวเองไม่รู้อะไรเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาแดนอสูรปีอานจะอยู่ที่แดนสมุนไพรแร่ธาตุ เวลานี้ปรากฏตัวขึ้นที่แดนมนุษย์กษัตราอย่างกะทันหัน ทำให้หลายคนรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย โดยเฉพาะบรรดาแคว้นเจ้าลัทธิของแดนมนุษย์กษัตรายิ่งต้องระวังตัวมากขึ้น

“คงไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นมานะ หรือจะมีการรุกรานเกิดขึ้นอีกครั้งหละ” หัวหน้าพรรคที่อยู่ในแดนมนุษย์กษัตรารู้สึกเป็นกังวลยิ่งและพูดขึ้นมา เมื่อมองเห็นแดนอสูรปีอาน

หลังประสบเหตุการณ์การรุกรานของพรรคเซียนเหิน ทำให้บรรดาแคว้นเจ้าลัทธิของแดนมนุษย์กษัตราอดที่จะมีเงาแห่งความเจ็บปวดอยู่ในใจ อดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ กระทั่งแคว้นเจ้าลัทธิบางแห่งคิดในทางที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้ ด้วยการตระเตรียมความพร้อมที่จะรบกับแดนอสูรปีอาน

นับว่าโชคดีที่หลังจากแดนอสูรปีอานมาถึงแล้วกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ไม่มีท่าทีของการรุกราน จึงทำให้ทุกคนค่อยหายใจโล่งอกนิดหนึ่ง

ณ สถานที่ที่ห่างไกล บริเวณปากทางเข้าสู่เหมืองแร่เซียนปีศาจระกา ปีศาจระกาที่ผ่ายผอมจนเหลือแต่กระดูกได้ตื่นขึ้น ยืนมองจากระยะห่างไกลที่ปากถ้ำ มองดูแดนอสูรปีอานแล้วถึงกับพึมพำออกมาว่า “ขึ้นไปแดนที่สิบนะเนี่ย นี่มันยุคสมัยอะไรกันแน่นะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาคิดจะขึ้นไปแดนที่สิบก็มีเพียงราชันเซียนเท่านั้นที่ทำได้ มาคราวนี้อีกาทมิฬจะพาคนขึ้นไปมากมาย เขาอาศัยวิธีอะไรมาทำลายความแตกต่างของมิติกาลเวลาระหว่างเก้าแดนกับแดนที่สิบ…”

“…ในโลกนี้ หากจะทำลายความแตกต่างของมิติกาลเวลาระหว่างเก้าแดนกับแดนที่สิบในขอบข่ายที่ค่อนข้างกว้างขวางล่ะก็ คงมีเพียงกงล้อศักราชเท่านั้น แต่ว่า เวลานี้บนโลกนี้ยังคงมีกงล้อศักราชอยู่อีกรึ? เกรงว่าคงไม่มีใครที่มีกงล้อศักราชอยู่ในมือกระมัง แม้แต่สุสานเทียนกู่ก็ไม่มีกงล้อศักราชอยู่ในมือแล้ว แล้วเจ้าอีกาทมิฬอาศัยวิธีอะไรมาทำลายความแตกต่างของมิติกาลเวลากันเล่า!”

ในเวลานี้แม้แต่ปีศาจระกาก็เดาไม่ออกว่าหลี่ชิเย่จะใช้วิธีอะไรในการทำลายความแตกต่างของมิติกาลเวลาระหว่างเก้าแดนกับแดนที่สิบ แต่ทว่า การที่อีกาทมิฬกล้าพาคนมากมายขึ้นไปยังแดนสิบ เขาก็ต้องมีความมั่นใจอย่างแน่นอน

ดังนั้น ปีศาจระกาถึงกับบ่นพึมพำออกมาว่า “เจ้าอีกาบ้านี่ ฝีมือลึกล้ำยากจะหยั่งถึงจริงๆ เจ้าหมอนี่มันฝืนลิขิตสวรรค์มากเหลือเกิน ผ่านการวางแผนและสั่งสมมายุคแล้วยุคเล่า ยกเว้นสวรรค์แล้วไม่มีใครสามารถขวางเขาได้อีก จังหวะนี้เรียกว่าใครขวางก็จะสังหารคนนั้น มิน่าหละ ขนาดสุสานเทียนกู่ยังต้องอ่อนข้อให้…”

“…เจ้าอีกาบ้านี่คงตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ต่อให้สุสานเทียนกู่หากเป็นศัตรูกับเขา เขาก็จะทำลายล้างบางสุสานเทียนกู่จนสิ้นซาก” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ปีศาจระกาถึงกับทอดถอนใจอย่างใจหาย “นับว่าโชคยังดีที่ไม่ได้เป็นศัตรูกับเจ้าอีกาบ้านี่ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เกิดเขาตัดสินใจขั้นเด็ดขาดจัดการรื้อรังไก่ขึ้นมาล่ะก็ ถึงเวลานั้นเรียกว่าหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างไม่เหลืออะไรอีกเลย!”

ปีศาจระกาอิงแอบอยู่ตรงปากถ้ำ มองดูแดนอสูรปีอานที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าจากระยะห่างไกล ถึงกับบ่นพึมพำออกมาว่า “ความรู้สึกถึงความเป็นอิสระนี้ช่างดีเสียจริง แดนอสูรปีอานรอจนกระทั่งถึงวันนี้แล้ว ในที่สุดก็สามารถขึ้นไปยังแดนที่สิบได้ นี่จะเป็นสัญญาณการคิดบัญชีแค้นเก่านะเนี่ย เสียดายที่รังของพวกเรายังคงต้องอยู่ในความมืดต่อไป เวลานี้ได้แต่หวังว่าเจ้าอีกาบ้าสามารถทำได้สำเร็จ มิฉะนั้นล่ะก็ สวรรค์โจรต้องไม่ปล่อยพวกเราเอาไว้แน่”

ครั้นปีศาจระกาเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ได้แต่ทอดถอนใจและสะอื้นออกมา

ในโลกนี้ มีใครบ้างหละที่ไม่กระหายต้องการความอิสระกันเล่า แต่ว่า กล่าวสำหรับเหมืองแร่เซียนปีศาจระกาของพวกเขาแล้วไม่มีทางเลือก ไม่ก็ถูกทำลายล้างเผ่าพันธุ์ ไม่ก็ต้องอยู่แต่ภายในเหมืองแร่ต่อไป

ครั้งนั้น เก้าราชาสมุทรที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ลักลอบหนีออกไปนั้น ปีศาจระกาผู้ทำหน้าที่เฝ้าปากถ้ำอยู่ย่อมรู้ดี เพียงแต่ตอนนั้นเขาทำหลับตาข้างเดียวเท่านั้น เขาสามารถเข้าใจได้ถึงความกระหายที่มีต่อโลกภายนอกของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ขณะเดียวกันเขาก็รู้ดีว่า ต่อให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ออกไปได้และได้เห็นโลกภายนอกแล้ว แต่ว่า ก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานต่างๆ นานา ต่อให้พวกเขาสามารถตัดสายเลือดของตนทิ้งไป แต่ สวรรค์โจรยังคงไม่ปล่อยพวกเขาแน่ รอยสลักบนตัวที่เกิดจากสวรรค์โจรจะไม่มีวันลบเลือนได้ตลอดกาล ต่อให้พวกเขาตัดสายเลือดทิ้งไปแล้วสามารถหลบเลี่ยงได้ชั่วคราว แต่ไม่สามารถหลบได้ตลอดไป รอยสลักเช่นนี้ไม่สามารถลบเลือนให้หายไปได้ อีกทั้งยังจะถ่ายทอดต่อไปรุ่นสู่รุ่นอีกด้วย

หากคิดจะทำลายรอยสลักนี้ให้จางหายไปมีเพียงทางเดียวเท่านั้น คือทำลายล้างสวรรค์โจรเสีย ซึ่งเป็นทางออกเพียงทางเดียวเท่านั้น แน่นอน พวกเขาไม่มีโอกาสเช่นนี้ ชาตินี้คงมีเพียงอีกาทมิฬเท่านั้นที่มีความเป็นไปได้ในการเอาชนะสวรรค์โจรได้ ส่วนคนอื่นๆ นั้นเป็นไปไม่ได้

ปีศาจระกาที่ยืนอิงแอบอยู่บริเวณปากถ้าและจ้องมองดูแดนอสูรปีอานอยู่นั้น เป็นความจริงที่เขารู้สึกอิจฉายิ่งนักที่ในที่สุดแดนอสูรปีอานได้รับอิสระภาพแล้ว แต่ว่า ในฐานะที่เป็นหนึ่งในหกสถานที่ที่เซียนเคยอาศัยอยู่เหมือนกัน เหมืองแร่เซียนปีศาจระกาของพวกเขากับแดนอสูรปีอานกลับมีสภาพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และสิ่งนี้ก็เป็นการกำหนดชะตาชีวิตของพวกเขา แดนอสูรปีอานสามารถเห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง ขณะที่พวกเขาทำไม่ได้

เหมือนแร่เซียนปีศาจระกาเป็นประเภทที่ดำรงอยู่ในฐานะถูกสลักสัญลักษณ์เอาไว้บนตัว ขณะที่แดนอสูรปีอานไม่เป็นเช่นนั้น ดังนั้น หากสวรรค์โจรไม่ตาย เหมืองแร่เซียนปีศาจระกาของพวกเขาก็จะไม่มีอิสระภาพ

“เจ้าอีกาบ้า เจ้าผีดูดเลือด แม้ว่าเจ้าจะโหดไปนิด แต่ เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ จะต้องทำให้สำเร็จ” ปีศาจระกาที่จ้องมองไปบนท้องฟ้าถึงกับบ่นพึมพำออกมาว่า “บนตัวของเจ้าได้แบกรับความหวังของผู้คนอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน ไม่รู้ว่าผู้คนจำนวนเท่าไรที่คาดหวังให้เจ้าสามารถทำลายพันธนาการที่มีมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ฝากความมีอิสระภาพไว้ที่ตัวของเจ้า…”

“…เจ้าอีกาบ้า เจ้าจะต้องทำให้สำเร็จนะ ถ้าหากแม้แต่เจ้ายังล้มเหลวแล้ว ไม่รู้ว่าจะต้องผ่านการเวียนว่ายตายเกิดอีกกี่ยุคกี่สมัย ต้องผ่านวัฏสงสารกี่ศักราช ผู้ที่สามารถก้าวเดินมาจนถึงจุดนี้ได้นับแต่อดีตถึงปัจจุบันมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น สามารถมีความตั้งใจที่จะต่อสู้ให้จนถึงที่สุดและยังมีความหวังว่าจะได้รับชัยชนะอีกด้วยยิ่งน้อยลงไปอีก ชาตินี้ ศักราชนี้ ข้ามองเห็นเพียงเจ้าอีกาบ้าตัวนี้เท่านั้น เจ้าจะทำให้ทุกคนต้องผิดหวังไม่ได้นะ ข้าวางเดิมพันเอาไว้บนตัวจนหมดสิ้นแล้ว”

เมื่อปีศาจระกากล่าวมาถึงตรงนี้แล้วถึงกับเหม่อลอยไม่ได้สติกลับมาเป็นเวลานาน หลังจากผ่านไปนานมาก เขาสลัดศีรษะทีหนึ่ง ไม่รู้จะทำอย่างไรดีและกล่าวว่า “เป็นไปได้อย่างไร แก่จนสมควรจะตายอย่างข้าถึงกับมีอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมาได้อย่างไรกัน”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล