ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร เมื่อหลี่ชิเย่เปิดปากพูดออกมา พวกเฮ่อเฉินพลันรู้สึกว่าตัวเองมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาบ้าง มีหลี่ชิเย่คอยหนุนหลังทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนว่าทุกเรื่องราวก็สามารถผ่านไปได้อย่างนั้น
หลี่ชิเย่ยังคงจ้องมองอยู่กับกล่องไม้ที่เป็นเนื้อเดียวกันนั่น ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยมองดูพิณโบราณนั่นอีกสักครั้ง ดุจดั่งกล่องไม้ใบนั้นคือหญิงงามที่งามที่สุดในหล้าอย่างนั้น
“ลูกค้ามีสายตาที่เยี่ยมมาก มีประสบการณ์ ถึงกับรู้จักพิณเรียกหงส์” ความจริง พนักงานขายก็ตื่นตระหนกยิ่งนัก
แรกทีเดียว พนักงานขายยังเข้าใจว่าหลี่ชิเย่คือพวกทายาทเศรษฐี ยิ่งกว่านั้นอาจเป็นไปได้ว่าเป็นลูกนอกสมรสของยอดฝีมือสำนักเจ้าลัทธิสักแห่ง ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้มีผู้บำเพ็ญตนสามคนที่คอยติดตามเขาอยู่ด้านหลัง
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในสายตาของพนักงานขายมองว่า หลี่ชิเย่ก็แค่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าพนักงานขายไม่ได้ไปดูแคลนหลี่ชิเย่เป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้มองหลี่ชิเย่อยู่ในสายตา เขามองว่าหลี่ชิเย่เป็นเพียงลูกค้าที่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ว่า เวลานี้จะไม่ให้เขาต้องตกใจได้อย่างไร เมื่อหลี่ชิเย่พลันเปิดปากก็สามารถบอกถึงชี่อของพิณเรียกหงส์ได้ทันที เนื่องจากระดับหัวหน้าพรรค กษัตริย์แห่งแคว้นจำนวนมากที่มาที่ร้านก็ไม่รู้ว่าพิณหลังนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร และไม่สามารถบอกถึงชื่อของมันได้
เวลานี้ หลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น กลับสามารถบอกชื่อของพิณได้อย่างง่ายดาย แล้วจะไม่ให้พนักงานขายตกใจได้อย่างไร
ดูเหมือนหลี่ชิเย่จะไมได้ยินคำพูดของพวกเขาอย่างนั้น จ้องมองแต่กล่องไม้ใบนั้นโดยมีการกะพริบตา แม้แต่พนักงานขายก็ไม่เข้าใจว่า เจ้ากล่องไม้ใบนี้มันน่าสนใจตรงไหน
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หลี่ชิเย่จึงได้ละสายตากลับมาจากกล่องไม้ใบนั้น ในเวลานี้เองเขาได้เหลือบตามองดูพิณเรียกหงส์ทีหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “พิณเรียกหงส์นี้นับเป็นของดีโดยแท้ เรียกมันว่าเป็นของที่ประเมินค่าไม่ได้ก็ไม่นับว่าเกินเลย แต่ว่า เวลานี้มันอยู่ในมือพวกเจ้ามีค่าไม่ต่างอะไรกับไม้ฟืนห่วยๆ ที่ไร้ค่าสักเท่าไร เอามันมาใช้แทนฟืนยังจะดีกว่า”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา ทำเอาพวกของเฮ่อเฉินสามคนมีใบหน้าที่ขาวซีด ควรรู้ว่าพิณที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือหนึ่งในของล้ำค่าที่มีค่าที่สุดของร้านนี้ เวลานี้หลี่ชิเย่ถึงกับหาญกล้าบอกว่าพิณเรียกหงส์หลังนี้ไม่แตกต่างอะไรกับไม้ฟืนห่วยๆ เป็นการจงใจทำให้ร้านนี้ต้องอับอาย จงใจหาเรื่องกับทางร้านชัดๆ
ไม่ว่าร้านไหนก็ตาม ของล้ำค่าประจำร้านถูกใครเขาหาว่าเป็นฟืนห่วยๆ ล่ะก็ หากรุนแรงก็จึงขั้นเจ้าของร้านขอแลกชีวิตกับบุคคลผู้นั้น
ดังนั้น พลันที่หลี่ชิเย่พูดออกมาเช่นนี้ ไม่เพียงพวกเสิ่นเสี่ยวซันสามคนต้องตกใจจนหน้าซีด แม้แต่พนักงานขายที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นพลันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เขามีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นกล่าวน่าเกรงขามออกมาว่า “นายท่าน จะกินอะไรก็กินได้ แต่จะมาพูดแบบนี้ไม่ได้ ร้านตระกูลฉีพวกเราเป็นร้านที่มีชื่อเสียง!”
“ไม่ผิด ร้านตระกูลฉีเป็นร้านที่มีชื่อเสียง” หลี่ชิเย่ ไม่ได้ใส่ใจว่าพนักงานขายจะมีท่าทีอย่างไร กล่าวเฉยเมยว่า “พิณเรียกหงส์ก็นับเป็นของล้ำค่าที่ไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมชิ้นหนึ่ง แต่ หากไม่มีจังหวะดนตรีหงส์ ตัวพิณเรียกหงส์ก็ไร้ค่า มีเพียงพิณเรียกหงส์เข้าคู่กับจังหวะดนตรีหงส์ พิณเรียกหงส์จึงมีมูลค่า และล้ำค่าปราศจากผู้เทียบเทียม…”
“…ในเมื่อพวกเจ้าสามารถนำพิณเรียกหงส์ออกขาย แสดงว่าพวกเจ้าไม่มีจังหวะดนตรีหงส์อยู่ในมือ ถ้าหากพวกเจ้ามีจังหวะดนตรีหงส์ในมือล่ะก็ เกรงว่าพวกเจ้าคงไม่สามารถตัดใจเอาออกมาขายได้ ที่ว่าขายให้กับผู้มีวาสนาอะไรนั่น พวกเจ้าแค่ต้องการล่อให้ผู้ที่มีจังหวะดนตรีหงส์อยู่ในมือให้ปรากฎออกมาเท่านั้น เมื่อถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็เจรจาได้ นี่แหละคือที่ว่าขายให้กับผู้มีวาสนา!” หลี่ชิเย่พูดเจื้อยแจ้วเสมือนหนึ่งเป็นสมบัติในบ้านของตนอย่างนั้น
พนักงานขายถึงกับตกใจด้วยความหวาดผวาเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งเหมือนเห็นผีอย่างนั้น เนื่องจากสิ่งนี้เป็นความลับทางการค้าของพวกเขา บุคคลภายนอกไม่อาจล่วงรู้ได้ อีกทั้งพนักงานขายภายในร้านล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ที่ถ่ายทอดมากับมือ ผ่านการทดสอบอย่างเข้มข้น เป็นไปไม่ได้ที่จะเปิดเผยความลับขั้นสูงสุดออกไปได้ เวลานี้หลี่ชิเย่กลับสามารถพูดออกมาได้ถูกต้อง แล้วจะไม่ทำให้พนักงานขายต้องตกใจได้อย่างไร
“นายท่านพูดเล่นแล้วหละ” พนักงานขายรีบหัวเราะเจื่อนๆ เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องนี้ แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม เวลานี้พนักงานขายจ้องมองดูหลี่ชิเย่เสมือนหนึ่งเห็นผีอย่างนั้น
ภายในร้านมีผู้เฒ่าผู้หนึ่งนั่งอยู่ ผู้เฒ่าผู้นี้คือเถ้าแก่ร้านของร้านนี้ เขานั่งอยู่ด้านหลังของร้าน ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรค หรือกษัตริย์แห่งแคว้นเข้ามาในร้าน เขาก็จะไม่ลุกขึ้นไปให้การต้อนรับ กระทั่งไม่มองมากกว่าครั้งด้วยซ้ำ
เถ้าแก่ร้านเฒ่าผู้นี้คือยอดฝีมือที่น่ากลัวคนหนึ่งของตระกูลราชันฉีหลิน การมานั่งประจำอยู่ในร้านของเขาไม่ได้เพื่อต้อนรับลูกค้า เป็นการนั่งคุมร้านของเขา หากมีใครก่อกวนหาเรื่องจะต้องถูกเขาสยบอย่างแน่นอน
จะอย่างไรเสียภายในร้านตระกูลฉีมีของล้ำค่าอยู่เป็นจำนวนมาก แน่นอน ร้านค้าในลักษณะเช่นนี้ย่อมต้องการอาศัยยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมานั่งคุม เพื่อป้องกันเกิดเหตุขึ้นมา
ขณะที่หลี่ชิเย่พูดเจื้อยแจ้วถึงเรื่องพิณเรียกหงส์และจังหวะดนตรีหงส์นั้น เถ้าแก่ร้านเฒ่าผู้นี้พลันลืมตาทั้งสองขึ้นมา จ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ในทันที โดยที่ไม่ได้ละสายตาไปไหนเป็นเวลานาน
หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะสนใจกับสิ่งนี้ เขามองดูกล่องไม้ใบนั้นเอ่ยขึ้นมาเฉยเมยว่า “กล่องไม้ใบนี้ขายราคาเท่าไร?”
“เรื่องนี้” หลังจากที่พนักงานขายผู้นี้ได้สติกลับมา รีบเร่งตอบว่า “นายท่าน กล่องไม้ใบนี้เป็นของฝากขาย เป็นสหายผู้หนึ่งนำมาฝากขายที่นี่ สหายผู้นั้นต้องการแลกกับเคล็ดวิชาป้องกันระดับจอมราชันเล่มหนึ่ง ของเผ่าไหนก็ได้”
ก่อนหน้านั้นท่าทีของพนักงานขายผู้นี้กล่าวได้ว่าอบอุ่น แต่เป็นท่าทีของอาชีพ แต่ว่า เวลานี้ท่าทีของพนักงานขายผู้นี้ดูจะให้ความเคารพมากขึ้น ท่าทีในเวลานี้ไม่ได้มาจากท่าทีที่เป็นเพราะอาชีพของเขา
ความจริงแล้ว ตัวพนักงานขายเองก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับกล่องไม้ใบนี้เลย เนื่องจากกล่องไม้นี้เป็นการฝากขายจสกตระกูลขุนนางโบราณตระกูลหนึ่ง และตระกูลขุนนางโบราณตระกูลนี้กับร้านตระกูลฉีก็จักกันเป็นอย่างดี มีความสัมพันธ์ที่ดีมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...