ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1812

ตอนที่ 1812 แสดงอำนาจ
บรรดายอดฝีมือที่เฝ้าอยู่บริเวณสะพานลอยฟ้าต่างรู้สึกเหนือความคาดคิด เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้นี้พาศิษย์นอกตระกูลของตระกูลราชันฉีหลินมาต้อนรับหลี่ชิเย่

ยอดฝีมือที่เฝ้าอยู่บริเวณสะพานลอยฟ้าอดที่จะเอ่ยถามขึ้นแผ่วเบาว่า “ฝ่าบาทไม่เสด็จมาเองรึ?”

ชายหนุ่มผู้นี้เผยรอยยิ้มออกมา ยิ้มกล่าวต่อหลี่ชิเย่ว่า “สหายหลี่ ฝ่าบาทของพวกเราติดภารกิจไม่สามารถปลีกตัวมาให้การต้อนรับ จึงให้ข้ามาต้อนรับสหายหลี่อย่างสมเกียรติแทน”

คำพูดของชายหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงเป็นการตอบคำถามของยอดฝีมือที่เฝ้าสะพานลอยฟ้า ยังเป็นการแสดงเจตนารมณ์การมาของตนในครั้งนี้ต่อหลี่ชิเย่

ยอดฝีมือของตระกูลราชันฉีหลินที่เฝ้าบริเวณสะพานลอยฟ้าถึงกับขมวดคิ้วนิดหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของชายหนุ่มผู้นั้น

“ศิษย์พี่จางหยางมาแล้ว” มีผู้ที่จดจำชายหนุ่มที่มาต้อนรับหลี่ชิเย่ด้วยตนเองได้ กล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่ได้มาให้การต้อนรับคนโหดอันดับหนึ่งนี่ เห็นทีคงจะมอบหมายให้ศิษย์พี่ใหญ่จางหยางเป็นผู้แทนพระองค์แล้วหละ”

“ฮึ คนโหดอันดับหนึ่งออกจะยโสเกินไปแล้ว อาศัยอะไรให้ฝ่าบาทต้องมาต้อนรับด้วยตนเอง ต่อให้เบื้องหลังของเขามีจอมเทพคอยให้ท้าย ก็ปล่อยให้ทำกำเริบเสิบสานในตระกูลราชันฉีหลินไม่ได้ ฮึ ให้ศิษย์พี่ใหญ่จางหยางมาต้อนรับด้วยตนเองถือว่าให้เกียรติกับคนโหดอันดับหนึ่งเต็มที่แล้ว เทียบทักษะ เทียบฐานะแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่จางหยางไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้สืบทอดของแคว้นเจ้าลัทธิคนหนึ่งเลย”

ที่แท้ชายหนุ่มผู้นี้คือศิษย์พี่ใหญ่ของบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่ของตระกูลราชันฉีหลิน แต่ว่า เขาไม่ถือเป็นศิษย์สายตรงของตระกูลราชันฉีหลิน เป็นศิษย์นอกตระกูล

แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าซึ่งมีชื่อว่าจางหยางก็มีวาสนาที่สูงมาก เขาได้กราบผู้อาวุโสของตระกูลราชันฉีหลินเป็นอาจารย์ ในบรรดาศิษย์นอกตระกูลที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ของตระกูลราชันฉีหลินนั้น นับว่าเป็นผู้ที่มีความโดดเด่น

หลี่ชิเย่มองดูบรรดาศิษย์นอกตระกูลที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ของตระกูลราชันฉีหลินที่เดินทางมาให้การต้อนรับตนพร้อมกับจางหยางจำนวนกว่าสิบคนแล้ว เพียงยิ้มๆ นิดหนึ่ง

แม้ว่าจางหยางที่อยู่ตรงหน้าจะมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ขณะที่ศิษย์นอกตระกูลที่มาพร้อมกับเขานั้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเต็มไปด้วยความไม่พอใจและไม่เป็นมิตร พวกเขาเหล่านั้นส่วนใหญ่จะจ้องมองหลี่ชิเย่อย่างน่าเกรงขาม ท่าทีไม่ได้มาดีแน่

ภายในใจของเถี่ยซู่องดูไม่ดีนักเมื่อเห็นท่าทีของจางหยางและศิษย์อีกสิบกว่าคนนั่น เถี่ยซู่องนั้นนับเป็นคนที่กะล่อนคนหนึ่ง สายตาคู่นั้นของเขาร้ายกาจมาก พลันที่มองเห็นท่าทีของศิษย์นอกตระกูลสิบกว่าคนเหล่านี้แล้ว เถี่ยซู่องเข้าใจได้ทันทีว่าพวกเขาไม่หวังดีต่อหลี่ชิเย่

หรือว่าเป็นเพราะตระกูลราชันฉีหลินต้องการแสดงอำนาจให้หลี่ชิเย่เห็น? สิ่งนี้จึงสร้างความกังวลใจให้กับเถี่ยซู่องขึ้นมา จะอย่างไรเสียการเป็นศัตรูกับยักษ์ใหญ่เช่นตระกูลราชันฉีหลิน ไม่ว่าใครก็ต้องอกสั่นขวัญแขวนอยู่แล้ว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเข้าไปก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา ท่าทีอย่างไรก็ได้โดยสิ้นเชิง

“สหายหลี่ เชิญด้านใน บรรดาผู้อาวุโสล้วนแล้วแต่รออยู่ก่อนแล้ว” ท่าทีของจางหยางรอยยิ้มเต็มใบหน้า และนอบน้อมเคารพยิ่งนัก

หลี่ชิเย่พาพวกของเสิ่นเสี่ยวซันขึ้นไปบนสะทานลอยฟ้า เพื่อไปยังตระกูลราชันฉีหลิน แต่ว่า เมื่อพวกของหลี่ชิเย่เพิ่งจะก้าวขึ้นไปบนสะพานลอยฟ้า ชายหนุ่มอีกคนที่มากับจางหยางก็เข้าขวางพวกของหลี่ชิเย่เอาไว้ทันที ร้องเสียงทุ้มต่ำออกมาว่า “ช้าก่อน”

ครั้นหลี่ชิเย่เห็นชายหนุ่มผู้นี้ขวางทางเอาไว้ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา และไม่ได้โกรธ กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “มีเรื่องอื่นอีกรึ?”

“เพื่อความปลอดภัย การเข้าไปยังตระกูลราชันฉีหลินจะต้องปลดอาวุธเอาไว้ที่นี่ ยังมีอีก ไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าไป” เวลานี้ ชายหนุ่มผู้นี้ได้กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ตระกูลราชันฉีหลินคือสายสำนักราชันเซียน ไม่ใช่ให้นายหมูนายหมาที่ไหนก็เข้าไปได้” กล่าวพลางชี้ไปที่พวกของเถี่ยซู่อง

เถี่ยซู่องไม่รู้สึกว่าจะต้องไปโกรธเมื่อถูกชายหนุ่มผู้นี้พูดจาดูถูก จะอย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นเพียงบุคคลตัวน้อยๆ ที่ไม่มีความสำคัญเท่านั้น สามารถก้าวเข้าสู่ตระกูลราชันฉีหลินได้ก็นับเป็นเกียรติอย่างหนึ่งแล้ว

“เหอะ เหอะ สหายหลี่อย่าเข้าใจผิด อย่าได้เข้าใจผิด” เมื่อจางหยางเห็นเหตุกการณ์เป็นเช่นนี้จึงรีบพูดจาไกล่เกลี่ย ยิ้มกล่าวว่า “คนนี้คือศิษย์น้องของข้าหม่าเซิ่น นิสัยมุทะลุนิดหนึ่ง เขาไม่ได้มีเจตนาอะไร เพียงทำตามกฎเกณฑ์เท่านั้นเอง”

พลันที่จางหยางได้พูดคำๆ นี้ออกมา แม้แต่ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่เฝ้าสะพานลอยฟ้ายังต้องขมวดคิ้ว พวกเขาต่างก็ไม่รู้ว่ารายละเอียดของเรื่องนี้เป็นอย่างไร หรือว่านี่เป็นความต้องการของฝ่าบาท?”

เมื่อจางหยางพูดคำๆ นี้ออกมา ทำให้ผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ด้านนอกสะพานลอยฟ้ามองหน้ากันและกัน นี่เป็นการจงใจหาเรื่องหลี่ชิเย่ชัดๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญตนคนใดก็ตามล้วนเป็นไปไม่ได้ที่จะมอบศาสตราวุธเต๋าของตนให้กับบุคคลภายนอก การทำเช่นนี้เป็นการจงใจทำให้ต้องอับอายชัดๆ

แน่นอน มีผู้บำเพ็ญตนของเขตฉีหลินจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ พวกเขากลับไม่คิดว่านี่เป็นการหาเรื่องหรือทำให้อับอาย พวกเขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่สมควร

“ฮึ เจ้าคนแซ่หลี่คิดว่ามีจอมเทพคอยให้ท้ายก็ยิ่งใหญ่นักรึ นี่แหละสมควรแสดงอำนาจให้เขาได้รู้เสียบ้าง ให้เขาได้เข้าใจว่าต่อให้มีจอมเทพคอยคุ้มครองอยู่เบื้องหลัง ตระกูลราชันฉีหลินก็หาใช่สถานที่ที่เขาจะทำกำเริบเสิบสานได้” มีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เห็นหลี่ชิเย่ตกเป็นเบี้ยล่างถึงกับแอบสะใจอยู่ในใจ

หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น และกล่าวว่า “ถ้าหากข้าบอกว่าไม่หละ?” ลูกไม้ตื้นๆ แบบนี้สามารถหลอกตาทั้งสองของเขาได้รึ?

“เจ้าคนแซ่หลี่ วาจาสามหาวมาก กล้าสู้ตัวต่อตัวกับข้าหรือไม่!” หม่าเซิ่นร้องตวาดและวิ่งออกมาทันที เมื่อได้ยินหลี่ชิเย่พูดจาดูถูกสำนักของตน

“สู้กันตัวต่อตัว? อาศัยเจ้าหน่ะหรือ?” หลี่ชิเย่หัวเราะและเหลือบมองเขาทีหนึ่ง

เมื่อหม่าเซิ่นถูกผู้ที่เพิ่งเข้ามาเป็นผู้บำเพ็ญตนใหม่ๆ ดูถูกถึงเพียงนี้ พลันทำให้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา ถ้าหากเขาถูกดูแคลนโดยดาวรุ่งคนหนึ่งเขาคงยอมอดกลั้นเอาไว้ แต่นี่หลี่ชิเย่เป็นเพียงผู้บำเพ็ญตนน้อยๆ ที่มีพลังขมุกขมัวเพียงไม่กี่พันลิตรเท่านั้นมาพูดจาดูถูกเขา แล้วเขาจะอดกลั้นได้อย่างไรกันเล่า

“ตูม…” เสียงดังสนั่นขึ้นมา พลังขมุกขมัวพลันพุ่งขึ้นรุนแรงเสมือนดั่งน้ำตก ขณะที่พลังขมุกขมัวแต่ละสายที่ทิ้งตัวลงมา เหมือนดั่งเป็นปีกที่กางออกมาจากด้านหลังของหม่าเซิ่น ได้ยินเสียงดัง “แว้งค์” ปรากฏเป็นกฎเกณฑ์เซียนหวังลอยขึ้นมา ทำให้หม่าเซิ่นมีอานุภาพเซียนที่ข่มแหงผู้คนขึ้นมาทันที

“แข็งแกร่งมาก…” บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ยืนดูเหตุการณ์สนุกๆ อยู่ด้านนอกสะพานลอยฟ้าต่างแอบตกใจกัน เมื่อเห็นหม่าเซิ่นปะทุกฎเกณฑ์เซียนหวังที่แข็งแกร่งขึ้นมา มียอดฝีมือได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่เสียทีที่เป็นศิษย์พี่รองของศิษย์นอกตระกูล เกรงว่าความสามารถคงก้ำกึ่งกับผู้ที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่

หม่าเซิ่นและจางหยางแม้จะเป็นศิษย์นอกตระกูล แต่กำลังความสามารถของพวกเขาเมื่อเทียบกับหลี่เทียนเหาแล้วมีแต่เหนือกว่าไม่ได้ด้อยกว่ากันเลย เนื่องจากชาติกำเนิดดั้งเดิมของพวกเขาก็คือมาจากแคว้นเจ้าลัทธิ พวกเขาคือบุรุษผู้สูงศักดิ์ขณะอยู่ในสำนักของตนแต่เดิมอยู่แล้ว ภายหลังได้เข้ามาเป็นศิษย์ของตระกูลราชันฉีหลิน ได้ฝึกเคล็ดวิชาเซียนหวัง จึงทำให้พวกเขามีกำลังความสามารถเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

“เจ้าหนู ลงมือเถอะ วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าจุดจบของการหยามเกียรติตระกูลราชันฉีหลินของพวกเราเป็นอย่างไร!” หม่าเซิ่นร้องเสียดัง “ตึง” ประกายส่องท้องฟ้าจนสว่างไสว ในมือของเขาปรากฏกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง

“งั้นรึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “ช่างเถอะ ให้เจ้ามีโอกาสได้ลงมือ จะได้ว่าข้าไม่ได้ว่าไม่ให้โอกาสเจ้า”

“ดี ข้าจะส่งเสริมเจ้า!” หม่าเซิ่นร้องเสียงดังออกมา เสียงกระบี่คำรามไม่หยุด หนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันลงมาคล้ายดั่งน้ำตกที่ทิ้งตัวลงมา ประกายกระบี่สามารถแทงทะลุฟ้าดินได้ อานุภาพกระบี่แฝงไว้ซึ่งสามารถกวาดล้างปฐพีจนราบเรียบได้!

“ปัง” เสียงหนึ่งดังขึ้น ทุกคนยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น กระบี่ยาวในมือของหม่าเซิ่นหักทำลาย ได้ยินเสียง “เอิกก” ดังขึ้น หม่าเซิ่นถูกคนเขาบีบคอและยกตัวลอยสูงขึ้นจากพื้นดิน

“จอมเทพ…” หลายคนพลันนึกถึงคำเล่าลือเมื่อได้เห็นภาพนี้ ข่าวลือว่าเบื้องหลังของหลี่ชิเย่มีจอมเทพคอยคุ้มกันอยู่!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล