ยอดฝีมือที่เฝ้าอยู่บริเวณสะพานลอยฟ้าอดที่จะเอ่ยถามขึ้นแผ่วเบาว่า “ฝ่าบาทไม่เสด็จมาเองรึ?”
ชายหนุ่มผู้นี้เผยรอยยิ้มออกมา ยิ้มกล่าวต่อหลี่ชิเย่ว่า “สหายหลี่ ฝ่าบาทของพวกเราติดภารกิจไม่สามารถปลีกตัวมาให้การต้อนรับ จึงให้ข้ามาต้อนรับสหายหลี่อย่างสมเกียรติแทน”
คำพูดของชายหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงเป็นการตอบคำถามของยอดฝีมือที่เฝ้าสะพานลอยฟ้า ยังเป็นการแสดงเจตนารมณ์การมาของตนในครั้งนี้ต่อหลี่ชิเย่
ยอดฝีมือของตระกูลราชันฉีหลินที่เฝ้าบริเวณสะพานลอยฟ้าถึงกับขมวดคิ้วนิดหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของชายหนุ่มผู้นั้น
“ศิษย์พี่จางหยางมาแล้ว” มีผู้ที่จดจำชายหนุ่มที่มาต้อนรับหลี่ชิเย่ด้วยตนเองได้ กล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่ได้มาให้การต้อนรับคนโหดอันดับหนึ่งนี่ เห็นทีคงจะมอบหมายให้ศิษย์พี่ใหญ่จางหยางเป็นผู้แทนพระองค์แล้วหละ”
“ฮึ คนโหดอันดับหนึ่งออกจะยโสเกินไปแล้ว อาศัยอะไรให้ฝ่าบาทต้องมาต้อนรับด้วยตนเอง ต่อให้เบื้องหลังของเขามีจอมเทพคอยให้ท้าย ก็ปล่อยให้ทำกำเริบเสิบสานในตระกูลราชันฉีหลินไม่ได้ ฮึ ให้ศิษย์พี่ใหญ่จางหยางมาต้อนรับด้วยตนเองถือว่าให้เกียรติกับคนโหดอันดับหนึ่งเต็มที่แล้ว เทียบทักษะ เทียบฐานะแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่จางหยางไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้สืบทอดของแคว้นเจ้าลัทธิคนหนึ่งเลย”
ที่แท้ชายหนุ่มผู้นี้คือศิษย์พี่ใหญ่ของบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่ของตระกูลราชันฉีหลิน แต่ว่า เขาไม่ถือเป็นศิษย์สายตรงของตระกูลราชันฉีหลิน เป็นศิษย์นอกตระกูล
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าซึ่งมีชื่อว่าจางหยางก็มีวาสนาที่สูงมาก เขาได้กราบผู้อาวุโสของตระกูลราชันฉีหลินเป็นอาจารย์ ในบรรดาศิษย์นอกตระกูลที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ของตระกูลราชันฉีหลินนั้น นับว่าเป็นผู้ที่มีความโดดเด่น
หลี่ชิเย่มองดูบรรดาศิษย์นอกตระกูลที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ของตระกูลราชันฉีหลินที่เดินทางมาให้การต้อนรับตนพร้อมกับจางหยางจำนวนกว่าสิบคนแล้ว เพียงยิ้มๆ นิดหนึ่ง
แม้ว่าจางหยางที่อยู่ตรงหน้าจะมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ขณะที่ศิษย์นอกตระกูลที่มาพร้อมกับเขานั้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเต็มไปด้วยความไม่พอใจและไม่เป็นมิตร พวกเขาเหล่านั้นส่วนใหญ่จะจ้องมองหลี่ชิเย่อย่างน่าเกรงขาม ท่าทีไม่ได้มาดีแน่
ภายในใจของเถี่ยซู่องดูไม่ดีนักเมื่อเห็นท่าทีของจางหยางและศิษย์อีกสิบกว่าคนนั่น เถี่ยซู่องนั้นนับเป็นคนที่กะล่อนคนหนึ่ง สายตาคู่นั้นของเขาร้ายกาจมาก พลันที่มองเห็นท่าทีของศิษย์นอกตระกูลสิบกว่าคนเหล่านี้แล้ว เถี่ยซู่องเข้าใจได้ทันทีว่าพวกเขาไม่หวังดีต่อหลี่ชิเย่
หรือว่าเป็นเพราะตระกูลราชันฉีหลินต้องการแสดงอำนาจให้หลี่ชิเย่เห็น? สิ่งนี้จึงสร้างความกังวลใจให้กับเถี่ยซู่องขึ้นมา จะอย่างไรเสียการเป็นศัตรูกับยักษ์ใหญ่เช่นตระกูลราชันฉีหลิน ไม่ว่าใครก็ต้องอกสั่นขวัญแขวนอยู่แล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเข้าไปก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา ท่าทีอย่างไรก็ได้โดยสิ้นเชิง
“สหายหลี่ เชิญด้านใน บรรดาผู้อาวุโสล้วนแล้วแต่รออยู่ก่อนแล้ว” ท่าทีของจางหยางรอยยิ้มเต็มใบหน้า และนอบน้อมเคารพยิ่งนัก
หลี่ชิเย่พาพวกของเสิ่นเสี่ยวซันขึ้นไปบนสะทานลอยฟ้า เพื่อไปยังตระกูลราชันฉีหลิน แต่ว่า เมื่อพวกของหลี่ชิเย่เพิ่งจะก้าวขึ้นไปบนสะพานลอยฟ้า ชายหนุ่มอีกคนที่มากับจางหยางก็เข้าขวางพวกของหลี่ชิเย่เอาไว้ทันที ร้องเสียงทุ้มต่ำออกมาว่า “ช้าก่อน”
ครั้นหลี่ชิเย่เห็นชายหนุ่มผู้นี้ขวางทางเอาไว้ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา และไม่ได้โกรธ กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “มีเรื่องอื่นอีกรึ?”
“เพื่อความปลอดภัย การเข้าไปยังตระกูลราชันฉีหลินจะต้องปลดอาวุธเอาไว้ที่นี่ ยังมีอีก ไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าไป” เวลานี้ ชายหนุ่มผู้นี้ได้กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ตระกูลราชันฉีหลินคือสายสำนักราชันเซียน ไม่ใช่ให้นายหมูนายหมาที่ไหนก็เข้าไปได้” กล่าวพลางชี้ไปที่พวกของเถี่ยซู่อง
เถี่ยซู่องไม่รู้สึกว่าจะต้องไปโกรธเมื่อถูกชายหนุ่มผู้นี้พูดจาดูถูก จะอย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นเพียงบุคคลตัวน้อยๆ ที่ไม่มีความสำคัญเท่านั้น สามารถก้าวเข้าสู่ตระกูลราชันฉีหลินได้ก็นับเป็นเกียรติอย่างหนึ่งแล้ว
“เหอะ เหอะ สหายหลี่อย่าเข้าใจผิด อย่าได้เข้าใจผิด” เมื่อจางหยางเห็นเหตุกการณ์เป็นเช่นนี้จึงรีบพูดจาไกล่เกลี่ย ยิ้มกล่าวว่า “คนนี้คือศิษย์น้องของข้าหม่าเซิ่น นิสัยมุทะลุนิดหนึ่ง เขาไม่ได้มีเจตนาอะไร เพียงทำตามกฎเกณฑ์เท่านั้นเอง”
พลันที่จางหยางได้พูดคำๆ นี้ออกมา แม้แต่ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่เฝ้าสะพานลอยฟ้ายังต้องขมวดคิ้ว พวกเขาต่างก็ไม่รู้ว่ารายละเอียดของเรื่องนี้เป็นอย่างไร หรือว่านี่เป็นความต้องการของฝ่าบาท?”
เมื่อจางหยางพูดคำๆ นี้ออกมา ทำให้ผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ด้านนอกสะพานลอยฟ้ามองหน้ากันและกัน นี่เป็นการจงใจหาเรื่องหลี่ชิเย่ชัดๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญตนคนใดก็ตามล้วนเป็นไปไม่ได้ที่จะมอบศาสตราวุธเต๋าของตนให้กับบุคคลภายนอก การทำเช่นนี้เป็นการจงใจทำให้ต้องอับอายชัดๆ
แน่นอน มีผู้บำเพ็ญตนของเขตฉีหลินจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ พวกเขากลับไม่คิดว่านี่เป็นการหาเรื่องหรือทำให้อับอาย พวกเขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่สมควร
“ฮึ เจ้าคนแซ่หลี่คิดว่ามีจอมเทพคอยให้ท้ายก็ยิ่งใหญ่นักรึ นี่แหละสมควรแสดงอำนาจให้เขาได้รู้เสียบ้าง ให้เขาได้เข้าใจว่าต่อให้มีจอมเทพคอยคุ้มครองอยู่เบื้องหลัง ตระกูลราชันฉีหลินก็หาใช่สถานที่ที่เขาจะทำกำเริบเสิบสานได้” มีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เห็นหลี่ชิเย่ตกเป็นเบี้ยล่างถึงกับแอบสะใจอยู่ในใจ
หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น และกล่าวว่า “ถ้าหากข้าบอกว่าไม่หละ?” ลูกไม้ตื้นๆ แบบนี้สามารถหลอกตาทั้งสองของเขาได้รึ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...