ในขณะนี้ บรรดาระดับบรรพบุรุษของสำนักเจ้าลัทธิล้วนแล้วแต่คุกเข่าก้มกราบกับพื้น แม้แต่ศิษย์และยอดฝีมือของตระกูลราชันฉีหลินก็ทยอยกันคุกเข่าก้มกราบกับพื้น บรรดาระดับบรรพบุรุษของตระกูลราชันฉีหลินก็จ้องมองภาพที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสะเทือนหวั่นไหว พวกเขาต่างไม่รู้ในรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เป็นเพราะอะไรที่ทำให้เซียนหวังของพวกเขาสำแดงเดชขึ้นมา
แน่นอนเซียนหวังเย่หลินที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่เซียนหวังเย่หลินที่แท้จริง ถ้าหากเซียนหวังเย่หลินตัวจริงมาล่ะก็ยังจะเหลือรึ
เซียนหวังเย่หลินที่เห็นอยู่ตรงหน้าเกิดจากการสร้างขึ้นมากับมือของหลี่ชิเย่ แรกทีเดียวหลี่ชิเย่เพียงอาศัย “แวบหนึ่งของความคิดสร้างสรรค์สรรพสิ่ง” สร้างร่างดงามของเซียนหวังเย่หลินขึ้นมา
ในเวลานี้ พลังที่ร่างเงานี้สำแดงออกมาล้วนแล้วแต่เป็นปณิธานของหลี่ชิเย่ เมื่อจอมเทพเชียนจวินได้นำชุดตัวอ่อนอินทนิลจอมราชันออกมาใช้แล้ว หลี่ชิเย่จึงนำเอาปณิธานและจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้ามาประทับสลักลงบนร่างเงานี้โดยตรง ทำให้พลังของร่างเงานี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมายในชั่วพริบตาเดียว ภายใต้ปณิธานที่ไม่ยอมให้ผู้ใดขัดขืนได้อย่าง เด็ดขาดของหลี่ชิเย่ ทำให้ร่างเงานี้มีชีวิตขึ้นในทันที
จังหวะที่หลี่ชิเย่ได้ระเบิดพลังที่ไม่ยอมให้ผู้ใดขัดขืนได้อย่าง เด็ดขาดนั้น พลันสามารถเชื่อมต่อกับปณิธานและจิตที่ยึดติดของเซียนหวังเย่หลินได้ จึงสามารถเรียกร่างเงานี้มาได้ และทำให้ร่างเงานี้มีปณิธานและจิตที่ยึดติดของเซียนหวังเย่หลินในทันที
สมควรจะทราบว่าเซียนหวังเย่หลินคือเซียนหวังของตระกูลราชันฉีหลิน สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่นางเกิด สถานที่ที่เลี้ยงดูนาง และเป็นสถานที่ที่นางได้ฝึกและเจริญเติบโต พื้นที่ทุกตารางนิ้วล้วนแล้วแต่ได้ฝากรอยเท้าของเซียนหวังเย่หลินเอาไว้ ช่องว่างทุกตารางนิ้วของที่นี้ล้วนแล้วแต่เคยได้รับการปลุกเสกป้องกัน่จากเซียนหวังเย่หลินเอาไว้
เรียกได้ว่า ในตระกูลราชันฉีหลินทุกแห่งหนล้วนแล้วแต่มีปณิธานของเซียนหวังเย่หลินทิ้งเอาไว้ ทุกๆ ที่ล้วนแล้วแต่ มีจิตที่ยึดติดของเซียนหวังเย่หลินทิ้งเอาไว้ สถานที่ลักษณะเช่นนี้แหละไม่มีจุดไหนที่ไม่มีร่อยรอยของเซียนหวังเย่หลินที่ได้ทิ้งเอาไว้
เมื่อปณิธาน และจิตที่ยึดติดของเซียนหวังเย่หลินถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในพริบตาเดียว พลังทั้งหมดที่นางได้คงเอาไว้ในตระกูลราชันฉีหลินพลันถูกเสกลงบนตัวร่างเงานั้นทันที พลังที่ปราศจากผู้ต่อกรของเซียนหวังเย่หลินจึงได้กลับกลายเป็นชะตาฟ้าสิบเอ็ดสาย แขวนอยู่เหนือศีรษะของร่างเงานั้น
นาทีนี้จึงเปรียบประดุจเซียนหวังเย่หลินมาด้วยตนเองอย่างนั้น ทุกการเคลื่อนไหวจึงปราศจากผู้ต่อกร ขณะที่ลืมตาหรือหลับตาก็คือสุริยันจันทราทิวาราตรี! ภายใต้พลังของนาง ต่อให้เป็นจอมเทพก็ดูเล็กจิ๋วยิ่งนัก!
เมื่อจอมเทพหนานหยางมองเห็นภาพนี้แล้วให้รู้สึกหวั่นไหวในใจอย่างยิ่ง เขาเป็นผู้ที่เคยเห็นเซียนหวังเย่หลินมาก่อน มาวันนี้ได้พบเห็นอีกครั้ง ท่าทางที่ล้ำเลิศของนางยังคงสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คนอย่างนั้น
ดวงตาทั้งสองของเซียนหวังเย่หลินที่เพ่งไปข้างหน้า เสมือนหนึ่งดวงดาวที่ส่งประกายเจิดจ้า ส่องแสงสว่างไสวไปตลอดกาล เวลานี้ พลันที่มือขาวๆ ที่เรียวยาวกางออก ปรากฎเป็นท้องฟ้าที่คลาคล่ำด้วยดวงดาวแต่ละแห่งขึ้นบนฝ่ามือของนาง นาทีนี้ ม่านราตรีไม่เพียงแค่ปกคลุมกาลเวลาบริเวณนี้เท่านั้น ยามเมื่อม่านราตรีตกลงมาได้ครอบคลุมกาลเวลานับล้านล้านกาลเวลา ครอบคลุมยุคแล้วยุคเล่า สายน้ำแห่งกาลเวลาทั้งสายก็ถูกครอบคลุมเอาไว้โดยม่านราตรีของนาง
ม่านราตรีที่วางซ้อนกันไปมาหลายชั้นได้ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ครอบคลุมตรีสหัสโลกธาตุ ขณะที่ม่านราตรีที่วางซ้อนกันไปมาหลายชั้นได้ปรากฏขึ้นมากลับกลายเป็นหนาและหนักมากจนไม่สามารถประเมินได้ ยามที่ม่านราตรีนี้ตกลงมา เหล่าสวรรค์และเทพมารล้วนแล้วแต่ถูกบดขยี้จนกลายเป็นเถ้าธุลีไป
“ไม่” จอมเทพเชียนจวินคำรามเสียงดังขึ้นมาเมื่อเห็นการลงมือของเซียนหวังเย่หลิน นาทีนี้เขาถึงกับเผาผลาญเลือดวัฒนะของตน เผาผลาญพลังขมุกขมัวของตน
แต่ว่าทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ไร้ประโยชน์ ลองนึกภาพดู พลังปลุกเสกปกป้องของเซียนหวังเย่หลินบวกกับปณิธานที่ไม่ยอมให้ผู้ใดขัดขืนได้อย่างเด็ดขาดของหลี่ชิเย่ มันคือพลังที่เด็ดขาดซึ่งสามารถบดขยี้ทุกสิ่งบนโลกนี้ได้ ความน่ากลัวของพลังลักษณะเช่นนี้คือระดับจอมราชันเซียนหวังที่อยู่ในระดับสูงสุด หาใช่จอมเทพที่ไม่มีแม้กระทั่งการเข้าถึงตัวตนอันแท้จริงสามารถต้านทานเอาไว้ได้
“คร๊ากก” เสียงแตกร้าวดังขึ้น ในเวลานี้เรื่องที่เหลือเชื่อได้บังเกิดขึ้นแล้ว ชุดตัวอ่อนอินทนิลจอมราชันถึงกับปรากฎรอยร้าวเป็นริ้วๆ ขึ้นมา
เวลานี้ ทั้งเนื้อทั้งตัวของจอมเทพเชียนจวินปรากฎเลือดที่ซึมออกมา ร่างกายของเขาก็ปรากฎรอยแยกเป็นริ้วๆ เช่นกัน มองดูแล้วก็เหมือนเครื่องปั้นดินเผาที่แตกลายงาอย่างนั้น
เสียง “ปัง” ดังขึ้น นาทีนี้แม้แต่ชุดตัวอ่อนอินทนิลจอมราชันก็ต้านเอาไว้ไม่อยู่ จึงแตกละเอียดไปทันที
“อ๊ากก” เสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้น ขณะชุดตัวอ่อนอินทนิลจอมราชันแตกละเอียดไป ต่อให้จอมเทพเชียนจวินมีอภินิหารที่ยอดเยี่ยมมากไปกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์ ถูกสยบจนกลายเป็นหมอกเลือดไปในพริบตา สุดท้ายหมอกเลือดค่อยๆ ล่องลอยกระจายออกไป ไม่เหลือแม้แต่ซาก
จอมเทพที่สง่างามคนหนึ่ง ต้องมาตายอย่างอนาถเช่นนี้ ไม่เหลือแม้แต่ซาก
บรรดาระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต่างร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง ทำให้พวกเขาตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่างโดยพลัน
นี่มันคือชุดตัวอ่อนอินทนิลจอมราชันเลยนะ ถึงกับถูกบดขยี้จนแหลกละเอียดไปดื้อๆ จอมเทพที่แข็งแกร่งยิ่งซึ่งมีดวงตราสัญลักษณ์สามดวงก็ถูกสยบจนกลายเป็นหมอกเลือดไป มันช่างเป็นภาพที่น่ากลัวอะไรปานนั้น เกรงว่าชั่วชีวิตของพวกเขาคงยากจะลืมเลือนภาพเหตุการณ์ในวันนี้ไปได้ ซึ่งจะเป็นความเจ็บปวดในใจที่ไม่อาจลบเลือนไป
“ท่านบรรพบุรุษ” ครั้นระดับบรรพบุรุษของตระกูลราชันฉีหลิน รับรู้ถึงอานุภาพเซียนหวังที่น่าเกรงขามและเปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวาแล้วนั้น ถึงกับร้องออกมาด้วยความหวาดผวา
“ปฐมบรรพบุรุษ” ในขณะนี้ ไม่รู้ว่าศิษย์และยอดฝีมือของตระกูลราชันฉีหลินจำนวนเท่าไรที่ถูกทำให้สะเทือนหวั่นไหว ต่างทยอยกันคุกเขาลงกราบกับพื้น
“เซียนหวังฉีหลิน” เวลานี้ บรรดาระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิที่อยู่บริเวณสองฟากซ้ายขวาของบันไดหินถึงกับผวา ทำเอาพวกเขาต้องตกใจจนงุนงง เพิ่งจะส่งเซียนหวังเย่หลินไปหยกๆ เวลานี้ก็ต้องมาต้อนรับเซียนหวังฉีหลินอีกองค์
เซียนหวังฉีหลินคือปฐมบรรพบุรุษของตระกูลราชันฉีหลิน เป็นเซียนหวังที่มีสิบลัคนา แปดชะตาฟ้า แม้ว่าเขาไม่นับเป็นเซียนหวังที่อยู่ในระดับสูงสุด แต่ก็นับเป็นผู้ที่โดดเด่นในบรรดาเซียนหลัง นับตั้งแต่ก่อตั้งตระกูลราชันฉีหลินกระทั่งถึงปัจจุบัน เขายังคงมีชีวิตอยู่บนโลก เพียงแต่ปลีกตัวออกจากโลกภายนอกไม่ปรากฎตัวออกมาเท่านั้น เล่าลือกันว่าเป็นการปลีกตัวในดินแดนสืบค้นไม่ปรากฎตัวบนโลกมนุษย์เวลานี้
มาวันนี้ การปรากฏตัวของเซียนหวังฉีหลินอย่างกะทันหัน ไม่เพียงสร้างความตกอกตกใจให้กับบรรดาระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้น แม้แต่ระดับบรรพบุรุษของตระกูลราชันฉีหลินก็ตื่นตระหนกเช่นกัน ตระกูลราชันฉีหลินของพวกเขามีเซียนหวังปรากฏตัวออกมาถึงสององค์ในวันเดียว ช่างเป็นเรื่องที่สร้างความหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คนเหลือเกิน ในอดีตไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน
“หนานหยางรับราชโองการ!” บนท้องฟ้าได้ส่งเสียงที่น่าเกรงขามลงมา เซียนหวังฉีหลินไม่ได้ปรากฏตัวออกมา แต่เขาได้ให้ความสนใจต่อตระกูลราชันฉีหลินจากระยะที่ห่างไกล และมีราชโองการลงมา
จอมเทพหนานหยางถึงกับร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงที่ที่น่าเกรงขามเช่นนี้ ทั้งกลิ้งทั้งคลานรีบเร่งก้าวลงจากตำหนัก และก้มกราบอยู่กับพื้น ยกมือขึ้นทั้งสองข้าง และกล่าวว่า “ศิษย์อกัตตัญญูหนานหยางรับการสอนสั่งจากท่านอาจารย์!”
บรรดาระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกตะลึง เมื่อได้ยินคำพูดของจอมเทพหนานหยาง ทุกคนต่างรู้ดีว่าจอมเทพหนานหยางเป็นจอมเทพองค์หนึ่ง แนต่เขาถึงกับเป็นศิษย์ของเซียนหวังฉีหลิน ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่เคยได้ยินจอมเทพหนานหยางเอ่ยถึง และไม่เคยมีใครพูดถึงเรื่องนี้
ความจริงแล้ว จอมเทพหนานหยางนับเป็นศิษย์ของเซียนหวังฉีหลินแค่ครึ่งตัวเท่านั้น เพราะเซียนหวังฉีหลินไม่เคยรับจอมเทพหนานหยางเป็นศิษย์ และไม่ได้ยินยอมรับเขาเข้าเป็นศิษย์ของสำนัก เพียงแต่ในวัยหนุ่มของจอมเทพหนานหยางเคยกราบคารวะเซียนหวังฉีหลินที่ปลีกตัวจากโลกภายนอก และได้รับการชี้แนะจากเซียนหวังฉีหลิน
ดังนั้น จอมเทพหนานหยางก็ไม่กล้าประกาศกับบุคคลภายนอกว่าตัวเองเป็นศิษย์ของเซียนหวังฉีหลิน ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงนำความเสื่อมเสียมาสู่เซียนหวังฉีหลิน ภายในใจของจอมเทพหนานหยางนับถือเซียนหวังฉีหลินเป็นอาจารย์ จะอย่างไรเสียเซียนหวังฉีหลินเคยชี้แนะด้านการฝึกให้กับเขา พวกเขานับว่าเป็นศิษย์อาจารย์โดยแท้จริง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...