“อะไรรึที่เรียกว่าตำราและอาวุธสวรรค์?” ผู้เยาว์ไม่รู้ว่าอะไรคือตำราและอาวุธสวรรค์ จึงถามผู้อาวุโสของสำนักตน
ผู้อาวุโสผู้นี้ทำท่าไตร่ตรองนิดหนึ่งแล้ว จึงได้กล่าวขึ้นมาว่า “รายละเอียดอาจารย์เองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน เนื่องจากสำนักของพวกเราไม่เคยมีตำราและอาวุธสวรรค์มาก่อน เล่าลือกันว่า ตำราและอาวุธสวรรค์คือสิ่งของที่หล่นลงมาจากศึกเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้าย สิ่งของที่ร่วงหล่นลงมาไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเป็นอาวุธ มักจะขึ้นอยู่กับเจ้าของคนแรกเป็นผู้ตัดสินถึงลักษณะสุดท้ายของมันอยู่เสมอ สิ่งที่เจ้าบรรลุคืออะไร บางทีมันก็จะเป็นสิ่งนั้น รายละเอียดของเรื่องนี้ไม่อาจชี้ชัดลงไปได้”
“แล้วตำราครึ่งเล่มและอาวุธที่ไม่สมประกอบหมายความว่าอย่างไร?” ผู้เยาว์ยังคงรู้สึกแปลกใจมากและต้องการถามให้สุด
“เล่าลือกันว่า สิ่งของที่ร่วงหล่นลงมาจากศึกเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายมีสารพัดรูปแบบ แต่ที่แน่นอนที่สุดมันไม่เพียงเป็นแค่สิ่งของชิ้นใดชิ้นหนึ่ง หรือจะบอกว่ามันไม่ได้เป็นเพียงของวิเศษชิ้นนั้นแค่นั้น สิ่งของที่หล่นลงมาจากท้องฟ้าเหล่านี้ ตัวของมันเองมีองค์ประกอบของกฎเกณฑ์สวรรค์ ถ้าหากสิ่งของทุกชิ้นสมบูรณ์แบบล่ะก็ มันไม่เพียงแค่ความสมบูรณ์ในรูปลักษณ์ของมันเองเท่านั้น ขณะเดียวกัน องค์ประกอบของกฎเกณฑ์ฟ้าดินที่มีอยู่ในตัวของมันเองก็สมบูรณ์แบบด้วย…”
“…ในยุคหลัง เคยมีจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนที่ยอดเยี่ยมปราศจากผู้เทียบเทียม ได้เคยทำการแยกเอาสิ่งของชิ้นนั้นและองค์ประกอบกฎเกณฑ์ออกจากกัน คิดจะนำเอาองค์ประกอบที่เป็นหลักกฎเกณฑ์นี้มาเป็นสุดยอดวิชาให้มันได้ถ่ายทอดต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้น จึงมีผู้ที่เรียกสิ่งของที่แยกเอาองค์ประกอบกฎเกณฑ์ออกไปแล้วนั้น เรียกว่าอาวุธสวรรค์ กับหลักกฎเกณฑ์ฟ้าดิน แต่ว่า สิ่งของที่ร่วงหล่นลงมาจากบนฟ้าส่วนใหญ่แล้วจะไม่สมบูรณ์ ล้วนแล้วแต่มีส่วนที่ขาดหายไป จากการที่สิ่งของเหล่านั้นไม่สมบูรณ์ส่งผลให้หลักกฎเกณฑ์ฟ้าดินก็ไม่สมบูรณ์เช่นกัน ดังนั้น ทุกคนจึงได้เรียกสิ่งของที่ร่วงหล่นลงมาจากบนฟ้าและไม่สมประกอบเรียกว่า ตำราครึ่งเล่มและอาวุธที่ไม่สมประกอบ!”
ผู้อาวุโสผู้นี้อธิบายให้กับผู้เยาว์ของตนด้วยความอดทน
“ตำราครึ่งเล่มและอาวุธที่ไม่สมประกอบนี้ทรงพลังมากรึ?” เมื่อผู้เยาว์มองเห็นท่าทีของจอมเทพท่าซิงหนักแน่นจริงจัง จึงอดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้
“ใช่เพียงแค่ทรงพลังเท่านั้น นี่มันอาวุธฆ่าคนชัดๆ โดยทั่วไปแล้วไม่มีใครต้องการแยกตำราและอาวุธสวรรค์ออกจากกัน ต่อให้เป็นเพียงตำราครึ่งเล่มและอาวุธที่ไม่สมประกอบก็เช่นกัน มีเพียงตำราและอาวุธสวรรค์และหลักกฎเกณฑ์ฟ้าดินที่รวมเข้าด้วยกัน จึงนับเป็นอาวุธเข่นฆ่าที่แท้จริง! กระทั่งเรียกได้ว่า พานพบเทพเข่นฆ่าเทพ พานพบมารสังหารมาร หากไม่ดื่มเลือดจะไม่กลับเข้าฝัก!” ผู้อาวุโสผู้นี้กล่าวด้วยท่าทีที่หนักแน่นจริงจัง
ผู้ที่สามารถมองเห็นภาพนี้กับตาตนเอง และมีความเข้าใจอย่างแท้จริงว่าอะไรคือตำราและอาวุธสวรรค์ก็ต้องมีท่าทีที่หนักแน่นจริงจัง แม้แต่จอมเทพท่าซิงก็เป็นเช่นนี้ เขาจ้องเขม็งไปที่ดาบโค้งที่ไม่สมบูรณ์เล่มนั้น สายตากระตุกทีหนึ่ง
“ถ้าหากเกมนี้ข้าพ่ายแพ้ ขอสหายโปรดให้ความเอ็นดูอาวุธเล่มนี้” เวลานี้ จอมเทพเสินกงก็ได้กล่าวขึ้นช้าๆ โดยไม่มีท่าทีของความลำพองใจ
“ไม่แน่อาจเป็นข้าที่พ่ายแพ้ อาศัยเลือดของข้าบูชายันต์อาวุธ” จอมเทพท่าซิงก็เอ่ยขึ้นช้าๆ
นาทีนี้ ทั้งสองฝ่ายกลับกลายเป็นถ่อมตน เนื่องจากการต่อสู้จากนี้จะต้องปรากฎผลเป็นหรือตายออกมาให้เห็น พวกเขาที่ก้าวมาถึงระดับนี้แล้ว ต่างฝ่ายต่างพอฟัดพอเหวี่ยงกัน มีความสามารถใกล้เคียงกัน ระหว่างกันจึงไม่มีอะไรต้องไปอวดอ้างกัน กล่าวสำหรับพวกเขาสองคนแล้ว คู่ต่อสู้หาได้ยาก ไม่ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะเป็นหรือตาย ต่างก็คู่ควรแก่การเคารพนับถือ
“อาวุธเล่มนี้มีชื่อว่าต้วนเจียง” เวลานี้จอมเทพเสินกงได้เอามือลูบไลส่วนหลังของดาบโค้ง และเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ในขณะนี้เขาทำเหมือนดั่งเป็นการลูบไล้ลงบนตัวของคนรักอย่างนั้น มันช่างอ่อนโยน ละเอียดและอาลัยอาวรณ์เหลือเกิน
“ชื่อดี ข้าจำได้แล้ว” ท่าทีของจอมเทพท่าซิงดูหนักแน่นจริงจัง และพยักหน้าแล้วกล่าวขึ้นช้าๆ
ในขณะนี้ จอมเทพเสินกงที่ยืนอยู่กลางอากาศได้หลับตาทั้งสองข้างลงช้าๆ ในมือกำต้วนเจียง กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ลงมือเถอะ ไม่ตายไม่เลิก!” ในเวลานี้เขาจะลืมตาหรือหลับตาก็ไม่ใช่ปัญหา เขาไม่จำเป็นต้องไปมองดูคู่ต่อสู้อีกแล้ว ดาบโค้งที่อยู่ในมือสามารถรับรู้ได้ทุกอย่าง
พริบตาเดียวนี้เอง จอมเทพเสินกงได้เก็บงำประกายศักดิ์สิทธิ์ที่พลุ่งพล่าน อานุภาพที่สยบผู้คน หลักกฎเกณฑ์ที่ดั่งน้ำตก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เก็บงำและสลายไป ในเวลานี้เสื้อของเขาส่งเสียงดังหวิดหวิว เขายืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางอวกาศ
นาทีนี้เหมือนว่าปราศจากตัวจอมเทพเสินกงแล้ว สิ่งเดียวที่เผชิญหน้ากับจอมเทพท่าซิงคือดาบโค้งเล่มนั้น ดาบโค้งที่ไม่สมบูรณ์ ขณะที่ตัวของจอมเทพเสินกงเหมือนไม่ได้คงอยู่อีกต่อไป
ด้วยดาบโค้งลักษณะเช่นนี้แหละ ไม่มีกลิ่นอายการฆ่าที่สะเทือนฟ้าดิน ไม่มีท่าทีที่สยบเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน มันเพียงแผ่กระจายประกายเยือกเย็นที่จางๆ ออกมา ทำให้วิญญาณของผู้คนถึงกับหนาวสะท้านขึ้นมา
ในเวลานี้ จอมเทพท่าซิงจ้องเขม็งไปที่ดาบโค้ง เขาเองก็ไม่ได้มองดูจอมเทพเสินกง เนื่องจากในขณะนี้จอมเทพเสินกงไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่ส่งผลถึงแก่ชีวิตหาใช่จอมเทพเสินกง แต่เป็นดาบโค้งเล่มนั้น
“ตูม…” เสียงดังสนั่นเกิดขึ้น ชั่วพริบตาเดียวกันนี้เองจอมเทพท่าซิงได้ปะทุประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีสิ้นสุดออกมาทั่วร่าง ดวงตราสัญลักษณ์ทั้งเก้าของเขาได้สำแดงพลังถึงขีดสูงสุด ดวงตราสัญลักษณ์ทั้งเก้าหมุนวน ปรากฏดวงดาวเต็มท้องฟ้า เสมือนหนึ่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวมากมายปรากฎอยู่เหนือศีรษะของเขา
จากนั้น ได้ยินเสียงดัง “แว้งค์” ชุดตัวอ่อนม้าบินเหยียบดาวที่สวมอยู่บนตัวของจอมเทพท่าซิงพลันพวยพุ่งประกายสีแสดที่ไม่มีสิ้นสุดออกมา เสมือนหนึ่งเป็นปีกคู่ที่ศักดิ์สิทธิ์ได้กางออก
ในเวลานี้เอง สัญลักษณ์ม้าบินเหยียบดาวกลับกลายเป็นชัดเจนยิ่ง บทคัมภีร์บทนี้ก็ได้ถูกขยายความจนสมบูรณ์ไร้ที่ติ พลังสัจธรรมตลบอบอวลไม่จางหาย เป็นที่น่าเกรงขามไม่มีสิ้นสุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...