แม้ว่าหลี่ชิเย่ไม่สามารถบุกเบิกเพื่อสร้างลัคนาขึ้นมาใหม่เป็นลัคนาที่สิบสี่ แต่ว่า จะการที่หลี่ชิเย่ได้ก้าวมาจนถึงระดับเทียรฆชาติสัจธรรมแล้ว ลัคนาที่อับแสงได้เปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง สิบสามลัคนาที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักได้ค่อยๆ กลับคืนสู่ปรกติอีกครั้งความลึกซึ้งพิสดารของสิบสามลัคนาได้มีการวิวัฒนาการไม่หยุดนิ่งขึ้นมาอีก
อาจกล่าวได้ว่าสิบสามลัคนาทำให้หลี่ชิเย่ได้ประโยชน์อย่างยิ่ง เหมือนดั่งที่เวลานี้เขาได้ผ่อนพลังขมุกขมัวเข้าออกอย่างนั้น
พลังขมุกขมัวของแดนแห่งการสืบค้นไม่เหมาะสำหรับใช้ในการฝึก เรือนิรันดรเรียกได้ว่าเป็นเรือที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง มันมีค่ายกลสำหรับการชุบกลั่นที่ยิ่งใหญ่ปราศจากผู้เทียบเทียม สามารถชุบกลั่นพลังขมุกขมัวของแดนแห่งการสืบค้นได้ แต่ว่า ต่อให้เป็นพลังขมุกขมัวที่ผ่านการชุบกลั่นแล้วก็ยังไม่เหมาะสำหรับการฝึกของผู้บำเพ็ญตนส่วนใหญ่
ผู้บำเพ็ญตนผ่อนพลังขมุกขมัวเข้าออกจำนวนน้อยอาจไม่ส่งผลกระทบมากนัก แต่หากผ่อนเข้าออกมากเกินไป จะส่งผลกระทบนานัปการ กระทั่งธาตุไฟเข้าแทรก
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่รับเอาพลังขมุกขมัวเข้าไปเสมือนหนึ่งปลาวาฬกลืนกินเหยื่อ แต่กลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ สิ่งนี้นอกจากความทรงพลังของเคล็ดวิชากลับคืนสู่ปุถุชนในการชุบกลั่นแล้ว ที่สำคัญมากกว่านั้นต้องยกให้เป็นผลงานของสิบสามลัคนา
สิบสามลัคนาสามารถออกจากพันธนาการทุกๆ ข้อจำกัด มันมีความหมายที่ลึกซึ้งยากจะหาได้เทียม มันทรงพลังถึงขั้นสามารถชุบกลั่นพลังขมุกขมัวของแดนแห่งการสืบค้นได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น ขณะที่หลี่ชิเย่กลืนกินพลังขมุกขมัวปริมาณมหาศาลเข้าไปจึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ อีกทั้งหลังจากผ่านการชุบกลั่นของสิบสามลัคนาแล้ว พลังขมุกขมัวของที่นี่ไม่ได้แตกต่างอะไรกับพลังขมุกขมัวที่อยู่ด้านนอกเลย
หลี่ชิเย่ไม่ได้บอกว่าตนเองจะต้องกลืนกินพลังขมุกขมัวของที่นี่อย่างบ้าคลั่ง และเขาก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยความพิเศษของแดนแห่งการสืบค้นมาเพิ่มความเร็วให้การฝึกของตน ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ หลี่ชิเย่ต้องการทดสอบอานุภาพสิบสามลัคนาของตนว่า สามารถหลุดออกจากการพันธนาการทุกประเภทในแดนแห่งการสืบค้นได้หรือไม่
หลังจากผ่านการทดสอบมารอบแล้วรอบเล่า หลี่ชิเย่รู้สึกพอใจในลี้ลับพิสดารของสิบสามลัคนาเป็นอันมาก เรียกได้ว่าสิบสามลัคนาจะไม่ถูกพันธนาการจากสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งนี้กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว นอกเหนือจากจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตัวเขาแล้ว สิบสามลัคนามีค่ายิ่งกว่าของวิเศษใดๆ หรือเคล็ดวิชาใดๆ ทั้งสิ้น การได้ครอบครองสิบสามลัคนาเท่ากับบ่งบอกว่าทุกสิ่งกลับกลายเป็นมีความเป็นไปได้อย่างไร้ขีดจำกัด!
สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้เรียกคืนสิบสามลัคนา และไม่กลืนกินพลังขมุกขมัวอีกต่อไป
เวลานี้หลี่ชิเย่ได้ลืมตาทั้งสองขึ้นช้าๆ ยามที่เขาได้ลืมตาทั้งสองขึ้นมานั้น เหมือนเป็นการเปิดหน้าต่างออกมาสองบานอย่างนั้น หน้าต่างทั้งสองบานเหมือนเชื่อมต่อไปยังสถานที่สูงและไกลที่สุดของโลกหล้า เหมือนว่าในพริบตาเดียวนี้เอง คู่ดวงตาคู่นั้นของหลี่ชิเย่สามารถส่องสว่างทุกหนทุกแห่งบนโลกได้ สามารถแอบมองทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกได้
เหมือนหนึ่งว่า ชั่วพริบตาเดียวนี้เองเมื่อหลี่ชิเย่ลืมตาคู่นี้ขึ้นมาแล้ว หลี่ชิเย่ก็ไม่ใช่หลี่ชิเย่คนเดิมอีกต่อไป เขาเสมือนหนึ่งได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาดุจดั่งเป็นสวรรค์ เขาคือผู้บงการทุกสิ่งในโลก สิ่งใดๆ ความลี้ลับพิสดารใดๆ ความลับใดๆ ล้วนแล้วแต่ไม่พ้นคู่สายตาคู่นี้ของเขาไปได้
แอบส่องสวรรค์! หลี่ชิเย่ได้ตั้งชื่อให้กับเคล็ดวิชานี้ ยามที่ดวงตาคู่นี้ของเขาได้ลืมตาขึ้นมา ก็เหมือนหนึ่งสวรรค์ที่กำลังแอบมองสรรพสิ่งและสรรพชีวิตอย่างนั้น ดังนั้น หลี่ชิเย่จึงได้ตั้งชื่อให้กับมันว่า “แอบส่องสวรรค์”
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้พบกับราชันเซียนมู่จั๋วแล้ว ก่อนจากเขาได้มอบกระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งให้กับหลี่ชิเย่ ซึ่งได้บันทึกประสบการณ์กับความลี้ลับมหัศจรรย์บางอย่างจากการแอบดูสวรรค์ของราชันเซียนมู่จั๋ว
หลังจากหลี่ชิเย่ได้พบกับราชันเซียนมู่จั๋วแล้ว ก่อนจากได้มอบกระดาษสีเหลืองให้หลี่ชิเย่แผ่นหนึ่ง โดยกระดาษสีเหลืองแผ่นนี้ได้บันทึกประสบการณ์และความลี้ลับมหัศจรรย์บางอย่างจากการแอบสังเกตสวรรค์มา
หลี่ชิเย่ได้อาศัยบันทึกประสบการณ์ของราชันเซียนมู่จั๋วใช้วิธีการที่ล้ำเลิศไปทำการพัฒนา บวกกับสติปัญญาที่ปราศจากผู้เทียบเทียมและประสบการณ์ที่มี ในที่สุด สามารถสร้างสุดยอดวิชาแขนงนี้ขึ้นมาได้ ตั้งชื่อว่า “แอบส่องสวรรค์”
ในเวลานี้ สภาพภายในดวงตาของหลี่ชิเย่มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ๆ บางครั้งปรากฎเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สูงตระหง่านยิ่งนัก บางครั้งเป็นตระกูลขุนนางโบราณที่น่าเกรงขามปราศจากผู้เทียบเทียม บางครั้งปรากฏเป็นสถานที่ลึกลับ…
เหมือนว่าหลี่ชิเย่ในขณะนี้สามารถแอบมองสถานที่ทุกแห่งในสิบสามทวีปได้ เวลานี้ขอเพียงลืมตาทั้งสองขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นสถานที่แห่งใด เรื่องใด เหมือนว่าเขาสามารถมองเห็นสิ้น
สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้ละสายตานั้นกลับมา หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงภาพที่มองเห็นเป็นฉากๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า พอลืมตาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ดวงตาคู่นี้ของเขาก็กลับคืนสู่ปรกติ เขาถึงกับยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ข้ากลับต้องการทดสอบอานุภาพของมันสักครั้ง”
หลังจากเรียกคืน “แอบส่องสวรรค์” แล้ว หลี่ชิเย่ได้หยิบสิ่งของสิ่งหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะ สิ่งของชิ้นนี้มีสีดำทั้งชิ้น เสมือนหนึ่งผ่านการถูกไหม้ไฟมาแล้ว มันคือของที่บินมาจากนอกโลกของตระกูลราชันฉีหลินนั่นเอง
หลี่ชิเย่ถึงกับนิ่งเงียบขึ้นมาขณะมองดูวัตถุจากนอกโลกชิ้นนั้น ภายในใจของเขารู้สึกหนักอึ้ง
บุคคลภายนอกไม่รู้หรอกว่าสิ่งของสิ่งนี้มาจากที่ใด แต่ทว่า ภายในใจของหลี่ชิเย่กลับรู้อย่างละเอียด สิ่งของสิ่งนี้มาจากการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้าย ในบางความหมายสามารถกล่าวได้ว่าวัตถุสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งของของโลกนี้
ทุกครั้งที่มีการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายก็จะต้องมีวัตถุหล่นลงมา จะอย่างไรเสีย ด้วยจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนจำนวนมากเข้าร่วมสงคราม อานุภาพย่อมจะต้องยากจะหาสิ่งใดเทียม ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนที่เข้าร่วมศึกสงครามล้วนแล้วแต่ไม่ได้ตัดสินใจกระทันหัน พวกเขาได้ผ่านการวางแผนลับๆ และผ่านการเตรียมตัวมาอย่างเต็มที่
ท่ามกลางศึกสงครามลักษณะเช่นนี้ ต่อให้ไม่สำเร็จก็ต้องสร้างความสะเทือนหวั่นไหวขึ้นแน่นอน ด้วยเหตุนี้เองจะต้องมีสิ่งของที่ร่วงหล่นลงมาจากสุดปลายทางของโลกอย่างแน่นอน
หลี่ชิเย่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ค่อยๆ หลับตาลง มือทั้งสองได้วางบนวัตถุที่บินมาจากนอกโลกชิ้นนั้น เวลานี้เอง ได้ยินเสียงดัง “แว้งค์” สิบสามลัคนาของหลี่ชิเย่ปรากฏขึ้นมา เปล่งประกายจางๆ ออกมา
ในเวลานี้ สิบสามลัคนาได้มีการวิวัฒนาอย่างรวดเร็ว เหมือนกำลังพัฒนาความลึกซึ้งพิสดารทุกสิ่งที่โลกมี หลักกฎเกณณ์ และระเบียบที่ไม่มีสิ้นสุดได้ทำการวิวัฒนาการภายในสิบสามลัคนา มันได้กลับกลายเป็นบทคัมภีร์ที่ไม่มีสิ้นสุด กลายเป็นหลักฎเกณฑ์ที่มากมายดั่งทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล การวิวัฒนาการของมันมีความรวดเร็วจนยากจะหาใดเทียม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...