ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1862

ตอนที่ 1862 ฉินไป่หลี่
จังหวะที่เฟิงยี่ยืนรอความตายอยู่นั้น พริบตาเดียวปรากฏเงาม่วงขึ้นที่ข้างกายของเฟิงยี่ จากการที่ผู้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันคำรามเสียงทุ้มต่ำออกมาและลงมือได้อย่างคล่องแคล่ว เสียง “ตูม” ดังสนั่น ฝ่ามืออันคล่องแคล่วพลันสำแดงด้วยการวิวัฒนาการโลกขึ้นมาใหม่โลกหนึ่ง จังหวะเดียวกันกับโลกนี้ถูกผลักขวางลำออกไปข้างหน้าเพื่อป้องกันฟ้าแลบดั่งน้ำหลากที่พุ่งเข้ามา

“ไป…” พริบตาเดียวกันกับจังหวะที่ขวางฟ้าแลบดั่งน้ำหลากเอาไว้ เงาม่วงได้พาเฟิงยี่ก้าวข้ามช่องว่าง ออกไปจากรัศมีของฟ้าแลบที่ดั่งน้ำหลากนั้นไป และพาเฟิงยี่หนีรอดไปได้

“ปัง…” พริบตาเดียวกันกับที่ร่างเงาม่วงได้พาเฟิงยี่หนีออกไปได้นั้น ฟ้าแลบดั่งน้ำหลากได้พุ่งเข้าทำลายโลกทั้งโลกนั่น และพุ่งเข้าหาหลี่ชิเย่อย่างรุนแรง

“ตูม ตูม ตูม…” ในเวลานี้ ฟ้าแลบที่ดั่งน้ำหลากทั้งหมดได้รวมตัวเป็นสายเดียว กลายเป็นฟ้าแลบเสมือนดั่งน้ำหลากที่น่ากลัวที่สุดในโลก ทันใดนั้น ดุจดั่งภัยพิบัติจากสวรรค์ที่พุ่งเข้าหาหลี่ชิเย่ โดยที่ฟ้าแลบดั่งน้ำหลากเช่นนี้สามารถทำลายล้างโลกได้ทั้งโลก สามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างลงในฉับพลัน

ภายใต้การพุ่งเข้าโจมตีของฟ้าแลบดั่งน้ำหลาก ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนหวั่นไหวไปทั่วเขตฟ้าแลบ เหมือนว่าฟ้าแลบดั่งน้ำหลากที่สยดสยองนี้ต้องการทำลายเขตฟ้าแลบนี้ให้พินาศอย่างนั้น

แม้แต่เรือนิรันดรยังต้องหยุดแล่นต่อไปเมื่อเห็นสภาพเช่นนี้แล้ว ไม่กล้าไปต่อด้วยเกรงว่าจะถูกฟ้าแลบดั่งน้ำหลากโจมตี ต่อให้เรือนิรันดรของพวกเขามีระบบป้องกันที่แข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม แต่หากถูกฟ้าแลบดั่งน้ำหลากนี้ทำลาย ผลที่ตามมาก็สุดจะคาดคิดได้

“มาได้เหมาะ…” ท่าทีของหลี่ชิเย่ที่เอ้อระเหยไม่สะทกสะท้าน เมื่อต้องเผชิญกับการพุ่งเข้าโจมตีของฟ้าแลบที่ดั่งน้ำหลาก

“แว้งค์” ลัคนาเปิดออกกว้าง ต้อนรับการบุกเข้าโจมตีของสายฟ้าแลบที่ดั่งน้ำหลากนั่น

“ตูม ตูม ตูม…” เสียงดังตูมตามดังก้องไปทั่วท้องฟ้า ขณะที่ฟ้าแลบดั่งน้ำหลากทั้งหมดพุ่งเข้าโจมตีหลี่ชิเย่นั้น ลัคนาได้กลืนกินฟ้าแลบดั่งน้ำหลากทั้งหมดที่เข้ามาโจมตีเข้าไปในลัคนาทั้งหมดอย่างบ้าคลั่ง

ภายในลัคนาของหลี่ชิเย่ ดวงตรามิติโบราณบนเสาแห่งชีวิตกำลังวิวัฒนาการไม่หยุดนิ่ง มันได้แปรเปลี่ยนไปเสมือนดั่งโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต ล่อให้ฟ้าแลบดั่งน้ำหลากทั้งหมดเข้าไปอยู่ในโลกใบนั้นแล้วค่อยๆกลั่นมัน

ตูม ตูม ตูม…” จากการที่ฟ้าแลบดั่งน้ำหลากยิ่งพุ่งเข้าไปในลัคนาของหลี่ชิเย่นานเท่าไร ทำให้สายฟ้าแลบที่อยู่ในเขตสายฟ้าแลบดูจะน้อยลงทุกที สุดท้ายเหลือเพียงสายฟ้าแลบน้อยๆ เท่านั้น

ท้ายที่สุด ดวงตรามิติโบราณของหลี่ชิเย่ก็ได้กลืนกินสายฟ้าแลบทั้งหมดที่มีอยู่ในเขตฟ้าแลบไปจนหมดสิ้น ในเวลานี้ภายในเขตฟ้าแลบยากจะได้เห็นกระทั่งเงาของฟ้าแลบ เพียงแค่ได้ยินเสียงดัง “เปรียะเปรียะ”ที่แผ่วเบาเท่านั้น และมองเห็นประกายไฟ้ฟ้าอันน้อยนิดวิ่งผ่านในเขตฟ้าแลบเป็นครั้งคราวเท่านั้น

ภายในระยะเวลาอันสั้น หลี่ชิเย่ได้จัดการกลืนกินฟ้าแลบที่อยู่ในเขตสายฟ้าแลบจนไม่เหลือ เดิมเขตฟ้าแลบที่มีฟ้าแลบดั่งพายุฝนพลันกลับกลายเป็นสงบนิ่งขึ้นมา นิ่งจนดูน่ากลัว ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนเป็นดินแดนแห่งความตายอย่างนั้น

ทุกคนล้วนแล้วแต่มองเห็นหลี่ชิเย่จัดการกลืนกินฟ้าแลบที่อยู่ในเขตสายฟ้าแลบไปจนสิ้น ทำให้หลายคนรุ้สึกขนลุกซู่ในใจ เจ้าหมอนี่ที่อยู่ตรงหน้าคือผู้ที่อาศัยไฟฟฟ้าเป็นอาหารเลยนะเนี่ย คนที่ไม่รู้ความยังเข้าใจว่าเขาเป็นสัตว์ที่กินไฟฟ้าเป็นหลัก

“นั่นมัน…” เมื่อผู้คนจนนวนมากได้สติกลับมาจากการเห็นหลี่ชิเย่กลืนกินสายฟ้าแลบแล้ว พบว่าเฟิงยี่ได้ถูกคนช่วยกลับเข้ามาอยู่บนเรือนิรันดรแล้ว

ผู้ที่ช่วยเฟิงยี่กลับมาเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ดูไปแล้วบุรุษผู้นี้ก็ไม่ได้มีอายุมากไปกว่าเฟิงยี่สักเท่าไร เขาสวมใส่ชุดสีม่วงทั้งชุด เสมือนหนึ่งก้าวออกมาจากเมฆหมอกในแสงสายัณห์อย่างนั้น

หน้าตาของบุรุษผู้นี้ดูเรียบง่ายโบราณ เดิมหน้าตาไม่สามารถใช้คำว่าเรียบง่ายโบราณมาเปรียบเปรยได้ แต่ ใบหน้าของเขามีความพิเศษอย่างนั้นแหละ แวบแรกที่มองเห็นเขาแล้วไม่สามารถหาคำใดมาเปรียบเปรยหน้าตาของเขา ได้แต่ใช้คำๆ นี้…เรียบง่ายโบราณมาเปรียบเปรย

เหมือนหนึ่งว่าเขาเป็นผู้ที่ก้าวเดินออกมาจากยุคสมัยโบราณอย่างนั้น ร่างของเขาได้นำพาเอากลิ่นอายของกาลเวลา มีเมฆหมอกในแสงสายัณห์คอยปกคลุมเอาไว้ หน้าตาเช่นนี้ให้ความรู้สึกเป็นเซียนโบราณอย่างนั้น

บุรุษลักษณะเช่นนี้ที่ยืนอยู่ตรงนั้น เสมือนดั่งเป็นภูเขาปกคลุมด้วยเมฆหมอก และผ่านร้อนผ่านหนาวมาแต่ยังคงยืนหยัดอยู่อย่างทระนง เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดสามารถขัดเกลาหน้าตาของเขาได้อย่างนั้น

“ฉินไป๋หลี่…” มีผู้ที่ร้องออกมาด้วยความตระหนกเมื่อสามารถจดจำหน้าตาของเขาได้

“ฉินไป๋หลี่!” ต่อให้ผู้ที่ไม่รู้จักบุรุษที่อยู่ตรงหน้า ก็ต้องเคยได้ยินชื่อของฉินไป๋หลี่ เมื่อได้ยินชื่อ “ฉินไป๋หลี่” แล้วถึงกับรู้สึกใจหายใจคว่ำ

“ควรเรียกว่าหัวหน้าพรรคฉิน” มีผู้ที่กล่าวด้วยเสียแผ่วเบาออกมา

ฉินไป๋หลี่ ชื่อนี้โด่งดังมากในชิงโจว กระทั่งเรียกได้ว่าในอดีตชื่อของฉินไป๋หลี่โด่งดังยิ่งกว่าชื่อของจินเก๋อเสียอีก

ชื่อของฉินไป๋หลี่เคยเป็นดาวรุ่งที่มีคุณสมบัติล้ำเลิศที่สุดของชิงโจว เขามีชาติกำเนิดมาจากพรรคซั่วเทียน อีกทั้งสามารถผงาดขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว กระทั่งเคยมีผู้ที่เห็นว่าเขาคือผู้ที่มีโอกาสมากที่สุดของร้อยชาติพันธุ์ในชิงโจวที่จะได้ขึ้นเป็นจอมราชันเซียนหวัง

น่าเสียดาย ภายหลังจินเก๋อได้ผงาดขึ้นมา ความปราดเปรื่องน่าทึ่งของเขาแซงล้ำหน้าฉินไป๋หลี่ไป ภายหลังระหว่างฉินไป๋หลี่และจินเก๋อไม่อาจหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไปได้ ในการต่อสู้ครั้งนี้ ปรากฏว่าฉินไป๋หลี่ที่เข้าสู่ยุทธภพก่อนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับจินเก๋อ

ชื่อเสียงของจินเก๋อโด่งดังขึ้นทั่วหล้าเพียงชั่วข้ามคืน แซงล้ำหน้าฉินไป๋หลี่ไปในทันที หลังการศึกในครั้งนั้นแล้ว ฉินไป๋หลี่ปรากฏตัวน้อยมาก มีบางคนบอกว่าเขาได้รับการกระทบกระเทือน และมีผู้ที่กล่าวว่าเขาได้กักตนเพื่อฝึกวิชา

แม้จะกล่าวว่าฉินไป๋หลี่ได้พ่ายแพ้ให้กับจินเก๋อ แต่ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของเขาต้องตกต่ำลงด้วยเหตุนี้ จะอย่างไรเสียตลอดเส้นทางที่เขาได้ก้าวเดินมา ผ่านการศึกน้อยใหญ่มามากมาย ความสามารถของเขาเป็นที่ยอมรับ่ของผู้คนจำนวนมาก ซึ่งหาใช่เป็นชื่อเสียงจอมปลอม

“นี่เขาได้เป็นระดับเทพแล้วรึ?” เวลานี้ต่อให้ยอดฝีมือผู้มีพลังขมุกขมัวแปดร้อยล้านลิตรในครอบครองก็ดูไม่ออกถึงโชควาสนาของฉินไป๋หลี่ เหมือนว่าเขานั้นลึกล้ำดั่งหุบเหวลึกยากที่จะหยั่งถึง เหมือนว่าเขาได้ก้าวข้ามระดับสวรรค์สัจธรรมไปแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล