“เขามีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคง” หลี่ชิเย่ได้ประเมินให้กับฉินไป่หลี่ โดยกล่าวว่า “ต่อให้ก้าวเดินบนเส้นทางของความเป็นเทพ ขอเพียงก้าวเดินอย่างแน่วแน่มั่นคงไปเรื่อยๆ ในอนาคตวาสนาของเขาไม่แน่ว่าจะด้อยไปกว่าจอมราชันเซียนหวังทั่วไป”
“นั่นสิ ครั้งนั้นเขาได้พ่ายแพ้ให้กับจินเก๋อขณะที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด แต่ เขาไม่ได้หมดอาลัยตายอยากและไม่ได้ท้อแท้ ด้วยสาเหตุนี้ การฝึกของเขายังคงรุดหน้าไปดั่งเดินทวนน้ำ ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวๆ ตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก ต่อให้เขาไม่ไปแย่งชิงชะตาฟ้ากับจินเก๋อ แต่ก็สามารถกลายเป็นจอมเทพที่สุดยอดได้อย่างแท้จริง” ธิดาราชันฉีหลินก็อดที่จะกล่าวขึ้นมา
พรรคซั่วเทียนและตระกูลราชันฉีหลินต่างก็เป็นสำนักในสังกัดร้อยชาติพันธุ์ มีการไปมาหาสู่กันโดยตลอด และทั้งสองตระกูลก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ดังนั้นธิดาราชันฉีหลินจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับพรรคซั่วเทียนอยู่ไม่น้อย
“แพ้ชนะเป็นเรื่องปรกติ การพ่ายแพ้ครั้งหนึ่งใช่ว่าหมายถึงจะต้องพ่ายแพ้ตลอดชีวิต ในโลกนี้ผู้ที่ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับใครเลยตลอดชีวิตมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่ว่า สามารถลุกขึ้นยืนหลังจากพ่ายแพ้แล้วกลับมีเป็นจำนวนมาก จอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนส่วนใหญ่มักจะเป็นเช่นนี้ แน่นอน ก็มีจำนวนไม่น้อยที่หลังจากพ่ายแพ้แล้วก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก ต่อให้เป็นดาวรุ่งที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งก็ตาม ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉย
หลังจากธิดาราชันฉีหลินได้ฟังคำบอกเล่าของหลี่ชิเย่แล้ว ถึงกับพยักหน้าเงียบๆ และคิดทบทวนอย่างละเอียด
กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนแล้ว เป็นความจริงที่ในบางครั้งจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรนั้นมีความสำคัญมาก ดาวรุ่งบางคนหลังจากพ่ายแพ้แล้วก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีกเลย และหายสาบสูญไปท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา นั่นเป็นเพราะจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่มั่นคง เฉกเช่นฉินไป่หลี่ ในขณะที่เขากำลังอยู่ในจังหวะที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด เรียกได้ว่าสมปรารถนาทุกสิ่ง ความโดดเด่นในขณะนั้น ในชิงโจวไม่มีใครเทียบเทียม
แต่ว่า เขาต้องพ่ายแพ้ให้กับจินเก๋อในช่วงจังหวะนี้ กล่าวสำหรับผู้คนจำนวนมากแล้วนี่คือภัยพิบัติยิ่งใหญ่เลยหละ มันคือการตกลงไปสู่จุดต่ำสุดของชีวิตคนๆ หนึ่ง เกรงว่าผู้คนจำนวนมากจะต้องมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่สั่นคลอน กระทั่งหมดอาลัยตายอยาก
แต่ ฉินไป่หลี่กลับตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก ก้าวไปข้างหน้าทุกฝีก้าว การกลับสู่ยุทธภพอีกครั้งในครั้งนี้ รับรองได้ว่าจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรจะต้องมีความมั่นคงยิ่งขึ้นกว่าเดิม เป็นการบ่งบอกว่า ต่อให้ฉินไป่หลี่ไม่เป็นจอมราชันเซียนหวัง เขาก็ต้องมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน
“พวกเรากลับกันเถอะ” หลี่ชิเย่มองดูข้างนอกแวบหนึ่งยิ้มกล่าวขึ้นมา
ในเวลานี้ เรือนิรันดรได้แล่นต่อไปข้างหน้า เนื่องจากสายฟ้าแลบในเขตฟ้าแลบถูกหลี่ชิเย่กลืนกินไปทั้งหมด ดังนั้นเรือนิรันดรในเวลานี้จึงเดินเครื่องเต็มสูบ ความเร็วนั้นเร็วจนยากจะหาผู้ใดเทียม
ในขณะที่หลี่ชิเย่กกับธิดาราชันฉีหลินกำลังจะกลับไปนั้น กลับถูกคนผู้หนึ่งขวางทางเอาไว้ คนที่ขวางทางหลี่ชิเย่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
พลันที่ผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัวขึ้นมาก็มีพลังสายหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่พลังของการข่มผู้อื่นว่าตนนั้นเหนือกว่า แต่พลังสายนี้เป็นพลังที่มีความฮึกเหิมกล้าได้กล้าเสีย เสมือนหนึ่งมีมังกรแท้จริงอย่างนั้น
ผู้หญิงคนนี้สวมชุดที่เป็นเกล็ดมังกรทั้งชุด ส่งประกายสีทองแวบวับ เกล็ดมังกรมีลายมังกรอยู่ ดูเหมือนเป็นของจริงมาก เหมือนไม่ใช้สร้างขึ้นมาจากโลหะศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นชุดเกราะที่สร้างขึ้นมาจากเกล็ดมังกรแท้จริง
ด้วยเหตุนี้เอง ขณะที่ผู้หญิงคนนี้สวมใส่เสื้อเกราะนี้อยู่นั้น ผู้คนสามารถได้ยินเสียงมังกรคำรามเลือนลาง อีกทั้งการที่ผู้หญิงคนนี้สวมใส่ชุดเกราะเกล็ดมังกรได้ให้ความรู้สึกถึงมังกรที่โลดแล่นอยู่บนเก้าชั้นฟ้าอย่างนั้น
แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะสวมใส่ชุดเกราะมังกร แต่ชุดดังกล่าวยังคงไม่สามารถปิดบังทรวดทรงที่งดงามของนางได้ หน้าอกที่อิ่มเอิบชูชัน ขาทั้งสองที่เรียวยาวงดงาม รูปร่างที่สูงโปร่ง ยิ่งเสริมให้ส่วนเว้าส่วนโค้งที่มีเสน่ห์ให้โดดเด่น สามารถดึงดูดสายตาของผู้พบเห็นเอาไว้โดยพลัน
แม้ว่ารูปร่างส่วนเว้าส่วนโค้งของผู้หญิงคนนี้จะดึงดูดผู้คนยิ่งนัก ทำให้ผู้คนต้องจ้องมองไปตรงหน้า แต่ว่า มีไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าจ้องมองนาน เนื่องจากนางมีความสูงส่งสายหนึ่ง เสมือนหนึ่งเป็นมังกรแท้จริงที่ผงาดอยู่เหนือเก้าชั้นฟ้า เหมือนดั่งเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งที่มีฐานะสูงส่ง
คู่ดวงตาของผู้หญิงคนนี้สุกใสเป็นพิเศษ และคมกริบยิ่งนัก เสมือนหนึ่งเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ที่เงาวับดั่งหิมะ สามารถส่องเข้าไปภายในจิตใจของผู้คน แน่นอน หากถูกนางจ้องมองแวบหนึ่งจะต้องรู้สึกหนาวสะท้านภายในใจ กระทั่งสั่นเทิ้มขึ้นมา
ผู้คนจำนวนมากเมื่อได้เห็นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ล้วนแล้วแต่พูดในใจคำหนึ่งว่า “เสียดายไม่ใช่บุรุษ ด้วยจิตใจอันห้าวหาญเช่นนี้หากเป็นบุรุษล่ะก็ต้องได้เป็นกษัตริย์!”
“อู่ฟ่งหยิ่ง…” มีผู้ที่ถึงกับตกใจและร้องออกมาเมื่อได้เห็นผู้หญิงคนนี้แล้ว
“ชี่วว เรียกนางว่าเจ้าเมืองหลงเฉิน อย่าเรียกชื่อของนางตรงๆ ระวังนางจะอัดเจ้า” เพื่อนรีบกล่าวเตือนเขา
บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกเย็นวาบในใจ เมื่อได้ยินชื่อ “อู่ฟ่งหยิ่ง” ชื่อนี้ ผู้คนจำนวนมากต่างจ้องมองนาง แต่ทุกคนล้วนแล้วแต่สงบปากสงบคำ ไม่มีใครกล้าพูดมาก
เนื่องจากนิสัยอารมณ์ร้อนของอู่ฟ่งหยิ่งโด่งดังมากในชิงโจว แค่คำพูดไม่เข้าหูก็จะลงไม้ลงมือเป็นประจำ หลายคนแค่สามถึงห้ากระบวนท่าก็ถูกนางอัดจนร้องออกมาอย่างน่าเวทนา
“เจ้าเมืองอู่ ไม่พบเสียนานเลย ครั้งนั้นจากกันที่หลงเฉินเพียงพริบตาเดียวก็ห้าหกปีแล้ว” เมื่อผู้หญิงคนนี้เข้ามาขวางทาง ธิดาราชันฉีหลินถึงกับยิ้มเจื่อนๆ ในใจ เกรงว่าคราวนี้คงต้องเกิดการต่อสู้ขึ้นแล้วหละ
“น้องสาวตระกูลฉี ไม่พบกันเสียนาน หากมีเวลาพวกเรานั่งลงพูดคุยถึงเรื่องราวในอดีตกันอีก แต่ว่า เวลานี้ข้าต้องการหาเขา”
ธิดาราชันฉีหลินถึงกับยิ้มเจื่อนๆ เมื่อได้ยินคำพูดของนาง รู้ว่าคราวนี้คงต้องต่อสู้กันจริงๆ แล้ว
อู่ฟ่งหยิ่ง เจ้าเมืองหลงเฉินคนปัจจุบัน และเป็นเจ้าสำนักหลงเฉิน ซึ่งเป็นหนึ่งสำนักสี่ราชัน ชื่อเสียงในชิงโจวอยู่เหนือตระกูลราชันฉีหลินเสียอีก
สำนักหลงเฉินก่อตั้งโดยราชันเซียนฉานหลงแห่งเก้าแดน หลังจากที่ราชันเซียนฉานหลงได้ก่อตั้งสำนักหลงเฉินแล้ว ทำการรับผู้บำเพ็ญตนจากทั่วหล้าเข้ามาอยู่ในสังกัด ไม่จำกัดเฉพาะร้อยชาติพันธุ์เท่านั้น ต่อให้เป็นเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ล้วนแล้วแต่สามารถเข้าสังกัดในสำนักหลงเฉินได้ทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้เอง นอกจากราชันเซียนฉานหลง และเซียนหวังองค์ที่สามแล้ว จอมราชันอีกสององค์ของหลงเฉินมีชาติกำเนิดมาจากเผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ตามลำดับ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...