ตอนที่ 1873 ลงมือสะเทือนไปทั่ว – ตอนที่ต้องอ่านของ ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
ตอนนี้ของ ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายActionทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 1873 ลงมือสะเทือนไปทั่ว จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
“ฮึ เรื่องคุยโตโอ้อวดใครไม่เป็น” อู่ฟ่งหยิ่งจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีเย้ยหยัน
หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “อย่างนั้นรึ? ถ้าหากข้าเอามาได้ เจ้าคิดว่าอย่างไรหล่ะ?”
“จะทำอะไรได้?” อู่ฟ่งหยิ่งกล่าวอย่างอันธพาลยิ่งว่า “ข้าจะรอให้เจ้าเอาศิลาจารึกมาให้ได้ก่อน ข้าจะลับดาบรอแล้วแย่งชิงเอามา”
“เกรงว่าเจ้าจะไม่มีปัญญา” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมาและส่ายหน้าเบาๆ สำหรับคำพูดที่พาลของอู่ฟ่งหยิ่งนั่น
“เจ้าเอามาก่อนสิ ลองดูว่าข้าจะกล้าแย่งชิงของเจ้าหรือไม่!” อู่ฟ่งหยิ่งตอบอย่างอหังการกับหลี่ชิเย่ พร้อมกับท่าทางที่แสดงถึงคันไม้คันมืออยากลองดูเต็มทีและมุทะลุดุดันและโหดร้ายยิ่งนัก เหมือนประเภทพานพบเทพสังหารเทพอย่างนั้น
ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกขนลุกซู่ในใจเมื่อได้เห็นท่าทางที่มุทะลุดุดันและโหดร้ายของอู่ฟ่งหยิ่ง เนื่องจากมีผู้คนจำนวนไม่น้อยในชิงโจวที่ต้องเสียทีให้กับอู่ฟ่งหยิ่ง กระทั่งเคยมีหัวหน้าพรรคและเจ้าสำนักของสายสำนักราชันเซียนที่ถูกอู่ฟ่งหยิ่งอัดจนหน้าตาเขียวช้ำ ทุกคนต่างรู้ดีว่ายามที่เจ้าอู่ฟ่งหยิ่งคนนี้คลั่งขึ้นมาล่ะก็ นางไม่สนว่าบุคคลนั้นจะมีฐานะอะไร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ขออัดก่อนแล้วค่อยมาว่ากันใหม่
แน่นอน มีคนที่แอบดีใจที่เห็นผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน เมื่อหลี่ชิเย่ที่ดุร้ายพบกับอู่ฟ่งหยิ่งที่มุทะลุดุดันและโหดร้าย เรียกได้ว่าเป็นคู่ปรับโดยแท้ ถือว่าได้เจอคนที่เคี้ยวยากเข้าให้แล้ว
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มนิดหนึ่งไม่ให้ให้ความสนใจต่อการแสดงออกถึงอาการคันไม้คันมือของอู่ฟ่งหยิ่ง ค่อยๆ เดินเข้าหาศิลาจารึกที่สูงทะลุเมฆาขึ้นไปนั่น
ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ที่ก้าวเข้าไปหาศิลาจารึกที่มีขนาดยักษ์ยากจะหาใดเทียมอย่างช้าๆ ทุกคนต่างจ้องมองดูทุกอิริยาบถของหลี่ชิเย่ ก่อนหน้านั้นมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ล้มเหลว กระทั่งสังเวยด้วยชีวิตของตน ซั่งกวานถู และฉินไป่หลี่ที่แข็งแกร่งก็ล้มเหลวไปแล้ว
เวลานี้ ทุกคนล้วนแล้วแต่อยากจะดูว่าหลี่ชิเย่ที่ถูกยกย่องว่าเป็นผู้ที่ชั่วร้ายผิดปรกติมากนั้นจะทำสำเร็จได้จริงหรือไม่ แม้จะกล่าวว่าทักษะยุทธของหลี่ชิเย่ในเวลานี้อ่อนมาก แต่ ผู้คนจำนวนมากจากเรือนิรันดรนั้นเคยเห็นหลี่ชิเย่กลืนกินสายฟ้าแลบมาก่อน ดังนั้น ทุกคนจึงไม่ให้ความสนใจถึงทักษะยุทธอ่อนหรือแข็งของหลี่ชิเย่แล้ว ผู้คนจำนวนมากมีความรู้สึกว่า หลี่ชิเย่ที่ชั่วร้ายผิดปรกติเต็มร้อยจะต้องมีวิธีการชั่วร้ายบางอย่างมาชดเชยกับทักษะยุทธของเขาได้แน่
“แว้งค์…” ขณะที่หลี่ชิเย่เข้าไปใกล้ อักขระยันต์สีทองหม่นบนศิลาจารึกเหมือนเคลื่อนไหวทีหนึ่ง และพลังกลืนกินที่น่าสยดสยองพลันปรากฏขึ้นมา โดยที่ไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าพลังกลืนกินที่น่าสยดสยองยิ่งปราศจากผู้เทียบเทียมในหล้ามาจากที่ใดกันแน่ อีกทั้งปรากฎขึ้นอย่างกะทันหัน พลังในลักษณะเช่นนี้พลันเข้าครอบคลุมหลี่ชิเย่เอาไว้ ชั่วพริบตาเดียวกันนี้เอง ไม่มีที่แห่งใดที่ปราศจากพลังกลืนกินเช่นนี้อยู่ ภายใต้พลังกลืนกินที่ทรงพลังเช่นนี้ ยากที่จะหนีรอดไปได้ เมื่อไหร่ที่ถูกมันครอบคลุมเอาไว้ พลังเลือดแก่นจะต้องถูกดูดออกไปทั่วร่างจนหมดสิ้น
หลี่ชิเย่เพียงหัวเราะนิดหนึ่งกับพลังกลืนกินน่าสยดสยองที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน เพียงชี้นิ้วออกไปตามอารมณ์ ได้ยินเสียงดัง “ปุ” ช่องว่างกระเพื่อมเหมือนดั่งคลื่นที่ขึ้นลงอย่างนั้น จังหวะที่เสียง “ปุ” ดังขึ้น พลังกลืนกินที่น่าสยดสยองยากจะหาใดเทียมพลันแตกละเอียดไป เหมือนดั่งเป็นปฏิกิริยาของผลกระทบที่ตามมาจากการเกิดระลอกคลื่น ทำให้พลังกลืนกินอันน่าสยดสยองทั้งหมดกลายเป็นเถ้าธุลีไปสิ้น
พลังกลืนกินเสมือนหนึ่งเป็นพายุร้าย ขณะที่หลี่ชิเย่ชี้นิ้วออกไปตามอารมณ์ ก็ทำให้ตาของพายุแตกสลายไป ทำให้พลังกลืนกินที่เสมือนหนึ่งเป็นพายุร้ายพลันสลายหายไปด้วย
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?” ทุกคนล้วนแล้วแต่ตกใจยิ่งนัก และไม่ทันได้เข้าใจถึงความลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายใน แต่พลังกลืนกินก็ได้สลายหายไปจนหมดสิ้นแล้ว ทุกคนต่างไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่ใช้วิธีการอะไรกันแน่
แตกต่างกับซั่งกวานถู ซั่งกวานถูอาศัยสลายลมปราณของตน แล้วอาศัยพลังสุดแกร่งของตนทำการตรึงลมปราณของตนเอาไว้ ขณะที่ฉินไป่หลี่ตัดขาดผลกรรมพลังลมปราณของตน ตัดขาดหยินหยาง แยกการเชื่อมต่อถึงกันระหว่างพลังกลืนกินกับลมปราณของตน
วิธีการของซั่งกวานถูและฉินไป่หลี่นั้น ต่อให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ผู้มีทักษะอ่อนไม่เข้าใจ แต่ว่าผู้ยิ่งใหญ่รุ่นอาวุโสยังสามารถมองออกถึงความลึกซึ้งพิสดารได้บ้าง
แต่สภาพการณ์ของหลี่ชิเย่ในเวลานี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องเซ่อไปเลย ต่อให้เป็นเจ้าสำนักของสายสำนักราชันเซียนก็มองไม่รู้ถึงความลึกซึ้งพิสดารของวิธีการเช่นนี้ เนื่องจากหลี่ชิเย่อาศัยนิ้วมือนิ้วเดียวก็ทำให้พลังกลืนกินนี้สลายหายไปได้ในทันที
แม้แต่ระดับซั่งกวานถูก็รับไม่ได้กับพลังกลืนกินเช่นนี้ สุดท้ายถูกดูดจนกลายเป็นศพแห้งไป แต่ หลี่ชิเย่อาศัยนิ้วมือนิ้วเดียวที่ชี้ออกไปตามอารมณ์ก็ทำลายมันได้แล้ว มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เว้นแต่หลี่ชิเย่คือจอมราชันเซียนหวังที่มีสิบสองชะตาฟ้าอยู่ในครอบครองแล้ว
แต่ว่า เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่หลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าคือจอมราชันเซียนหวังผู้มีสิบสองชะตาฟ้าในครอบครอง
“นี่คือวิชามารงั้นรึ?” มีผู้ที่พึมพำออกมาเมื่อเห็นหลี่ชิเย่สามารถทำลายพลังดูดกลืนลงได้ในชั่วพริบตาเดียว ต่างคนต่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อสายตาของตนเองนัก
ในขณะที่ทุกคนกำลังงุนงงอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้ก้าวขึ้นไปบนแท่นบูชาโบราณแล้ว เห็นเขาเดินวนแท่นบูชาโบราณรอบหนึ่ง จากนั้นก็ก้าวลงจากแท่นบูชาโบราณ
“เก็บเอามา…” ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ร้องออกมาเบาๆ เห็นนิ้วมือทั้งสิบของเขากางออก แสดงท่ามุทรา จากนั้นท่ามุทราพลิกกลับไปมาและเปลี่ยนแปลงด้วยความเร็วที่สูงมาก
ภายในเสี้ยววินาทีนี้เองมีการปรับเปลี่ยนท่ามุทราแล้วท่ามุทราเล่าอย่างรวดเร็ว กระทั่งคนที่มองตามตาลายไปหมด ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“ตูม…” เสียงดังสนั่นขึ้นมา พริบตาเดียวนั้นเอง เห็นแท่นบูชาโบราณเคลื่อนไหวโคลงเคลงทีหนึ่ง จากนั้น แท่นบูชาโบราณถึงกับพวยพุ่งเป็นประกายสีทองออกมา ประกายสีทองทั้งหมดเสมือนหนึ่งเป็นน้ำขึ้นน้ำลงที่พวยพุ่งออกมา
เวลานี้ หลังจากที่ธิดาราชันฉีหลินได้เห็นภาพของแท่นบูชาโบราณลอยขึ้นไปพร้อมกับศิลาจารึกแล้วจึงเข้าใจได้ว่า เพราะอะไรหลี่ชิเย่จึงได้บอกว่าฉินไป่หลี่นั้นมองเห็นแค่ปลีกย่อย มองเห็นเพียงนิดเดียวเท่านั้น!
“ตูม…” เมื่อแท่นบูชาโบราณและศิลาจารึกขนาดยักษ์ลอยขึ้นไปจนได้ระดับหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็หลุดจากการฝังอยู่ใต้พื้นดิน ในเวลานี้เอง ได้บังเกิดเสียง “ตูม ตูม ตูม” ดังขึ้นมาเป็นระลอกอีกครั้งหนึ่ง
นาทีนี้ เรื่องที่เหลือเชื่อได้เกิดขึ้นมาแล้ว ศิลาจารึกที่มีขนาดยักษ์รวมทั้งแท่นบูชาโบราณถึงกับหดตัวเล็กลงๆ เรื่อยๆ ครั้นหดจนได้ในระดับหนึ่งแล้ว ได้ยินเสียงดัง “แว้งค์” ทั้งแท่นบูชาโบราณและศิลาจารึกพลันกลายเป็นประกายสีทองสายหนึ่ง “ปุ” พวกมันได้พุ่งตัวเข้าไปยังวังวนสีทองที่อยู่บนฝ่ามือของหลี่ชิเย่นั่น กระทั่งเห็นเป็นภาพของน้ำสีทองที่แตกกระจายขึ้นมา
เมื่อแท่นบูชาโบราณและศิลาจารึกได้พุ่งเข้าไปอยู่ในวังวนสีทองแล้ว วังวนสีทองได้ค่อยๆ สงบลง สุดท้าย อักขระยันต์สีทองทั้งหมดได้ลอยขึ้นมาให้เห็นบนฝ่ามือของหลี่ชิเย่อีกครั้งหนึ่ง
ในเวลานี้ อักขระยันต์สีทองแต่ละตัวยังคงหมุนวนอยู่บนฝ่ามือของหลี่ชิเย่ และวิวัฒนาการเป็นอักรยันต์ตัวใหม่แต่ละตัว เมื่ออักขระยันต์สีทองลักษณะเช่นนี้หมุนเคลื่อนไปนั้น เหมือนกำลังสำแดงกลายเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง อีกทั้งตัวอักขระยันต์สีทองเหล่านี้ก็คล้ายดั่งเป็นดวงดาวขนาดใหญ่แต่ละดวงของโลกอย่างนั้น
ท่ามกลางโลกที่มีอักขระยันต์สีทอง มองเห็นแท่นบูชาโบราณและศิลาจารึกที่ลอยอยู่ตรงตำแหน่งกึ่งกลาง แม้ว่าพวกมันได้กลับกลายเป็นขนาดเล็กลงมากแล้ว แต่ว่า ยังคงเป็นสิ่งที่ใหญ่โตมโหฬารท่ามกลางโลกของอักขระยันต์สีทอง พวกมันเสมือนดั่งเป็นศิลาจารึกยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้ สามารถตรึงจักรวาลเอาไว้ได้
หลี่ชิเย่กางฝ่ามือออกมา มองดูโลกใบที่กำลังวิวัฒนาการอยู่ เขาถึงกับทอดถอนใจเบาๆ ออกมา และกล่าวว่า “แข็งแกร่งน่ะจริงอยู่ แต่ เสียดายยังห่างชั้นจากที่จินตนาการเอาไว้อยู่ไม่น้อย อย่างไรเสียก็ยังไม่ใช่ชั้นเยี่ยมนะเนี่ย”
การที่หลี่ชิเย่สามารถครอบครองแท่นบูชาโบราณกับศิลาจารึกได้ภายในระยะเวลาอันสั้นนั่นย่อมมีเหตุผล เนี่องจากเขาได้เข้าใจถึงความลึกซึ้งพิสดาร และสัจธรรมบทคัมภีร์ของมันมาก่อนแล้ว
สืบเนื่องจากเขาเคยศึกษาถึงระบบเคล็ดวิชาของยุคสมัยนี้มาก่อน ในขณะที่อยู่เก้าแดน ราชันเซียนปิงอวี่เคยได้ศิลาจารึกสกัดฟ้ามา
ความจริงก็คือ ในครั้งนั้นเป็นเพราะได้รับการชี้แนะจากหลี่ชิเย่ จึงทำให้สามารถได้รับศิลาจารึกสกัดฟ้ามาครอบครอง
ศิลาจารึกสกัดฟ้าในครั้งนั้นกับศิลาจารึกแผ่นนี้มีแหล่งกำเนิดเดียวกัน อาจกล่าวได้ว่า ศิลาจารึกสกัดฟ้าเปรียบเสมือนเป็นเพียงส่วนปลายหรือริมขอบวัตถุดิบของศิลาจารึกแผ่นนี้เท่านั้น หรือจะกล่าวว่าเป็นของลอกเลียนแบบที่ย่อส่วนลงมาเท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...