ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1877

ตอนที่ 1877 จอมมารดึกดำบรรพ์ผู้กำแหง
“ปัง…” จังหวะที่มังกรแท้จริงร้องด้วยความโศกเศร้านั้น ร่างของมังกรแท้จริงได้แหลกละเอียดไปทั้งร่าง เวลานี้เหมือนภาพได้หยุดอยู่ตรงนั้น เห็นร่างของอู่ฟ่งหยิ่งถูกพลังกระแทกจนร่างปลิวออกไป ทวนมังกรที่อยู่ในมือของนางแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับพันนับหมื่นชิ้น เศษชิ้นส่วนเหล่านั้นปลิวออกไปตามร่างของนางและร่วงหล่นกระจัดกระจายเต็มพื้นที่ไปหมด

ได้ยินเสียงดัง “ปุ…” อู่ฟ่งหยิ่งที่ถูกพลังกระแทกจนตัวลอยได้กระอักเลือดสดๆ ออกมาคำหนึ่ง เลือดสดๆ ทำให้ท้องฟ้าสีครามกลายเป็นสีแดง ดูฉูดฉาดยิ่งนัก!

ทุกคนที่ได้เห็นภาพนี้แล้วต่างรู้สึกขนลุกซู่ในใจ บรรดาผู้ที่ดูชมการต่อสู้ได้เว้นระยะห่างไกลมากพอแล้ว แต่การสะบัดกระบี่ฟาดฟันลงมา ทำให้ผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากต้องล้มลงกับพื้น ถูกสยบโดยพลังที่น่ากลัวนี้

บรรดายอดฝีมือต่างรู้สึกเสียวสันหลังวาบ หนาวสะท้านไปทั่วร่าง ทุกคนต่างทยอยกันถอยห่างเพิ่มขึ้นอีก เป็นการเว้นช่วงห่างให้มากขึ้นกว่าเดิมอีกครั้ง กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว กระบี่กระดูกขาวเล่มนี้ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน

สมควรทราบว่า ทวนมังกรของอู่ฟ่งหยิ่งนั้นสร้างขึ้นมาด้วยมือของราชันเซียนฉานหลง ทั้งยังเป็นการนำเอากระดูกสันหลังของมังกรแท้จริงมาหลอมสร้างขึ้น ย่อมประเมินถึงอานุภาพของทวนมังกรเล่มนี้ได้แล้ว

แต่ทว่า เวลานี้ ทวนมังกรลักษณะเช่นนี้กลับต้องมาถูกกระบี่กระดูกขาวที่ฟาดฟันออกมาตามอารมณ์จนแหลกละเอียดไป กลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับพันล้านชิ้น เหมือนว่าทวนมังกรสู้ไม่ได้เลยเมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่กระดูกขาว

“กระดูกแก่นนิรันดร์กาลสมคำเล่าลือจริงๆ เสียดายกลับไม่ได้อยู่ในมือข้า” หลี่ชิเย่ถึงกับพูดออกมาด้วยความหดหู่ มองดูกระบี่กระดูกขาวที่อยู่ในมือ

หากเอ่ยถึงชื่อของกระดูกแก่นนิรันดร์กาลแล้วจะไม่มีใครรู้จัก มันยังมีชื่ออีกชื่อหนึ่งนั่นก็คืออาวุธหนักยุคโบราณ

แต่ว่า ไม่ว่าจะเป็น “กระดูกแก่นนิรันดร์กาล” หรือว่า “อาวุธหนักยุคโบราณ” ก็เป็นชื่อที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน หากไม่บรรลุถึงขั้นนั้นแล้วจะไม่มีวันรู้ว่านี่คืออะไร

แน่นอนที่สุด กระบี่กระดูกขาวที่อยู่ในมือของหลี่ชิเย่หาใช่ “กระดูกแก่นนิรันดร์กาล”อะไรนั่น และก็ไม่ใช่ “อาวุธหนักยุคโบราณ” อะไร เป็นเพียงสิ่งที่สรรสร้างขึ้นมาโดยอาศัยปณิธานสูงสุดของหลี่ชิเย่เท่านั้น

กระดูกแก่นนิรันดร์กาลคือกระบี่กระดูกที่ถูกหลอมสร้างขึ้นโดยอาศัยกระดูกแก่นของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนของยุคสมัยหนึ่ง

ดังนั้น หลี่ชิเย่จึงได้อาศัยส่วนของความคิดแวบหนึ่งสร้างสรรค์สรรพสิ่งของตำราระลึก ด้วยการหยิบเอากระดูกแก่นจากโครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ตรงหน้า แล้วผนวกกับสุดยอดปณิธานสูงสุดทำการเลียนแบบกระดูกแก่นนิรันดร์กาล และสร้างเป็นกระดูกแก่นนิรันดร์กาลที่ลอกเลียนแบบขึ้นมา

แน่นอนที่สุด หากจะว่ากันตามความหมายที่เข้มจริงๆ แล้ว กระบี่กระดูกขาวที่อยู่ในมือของหลี่ชิเย่เรียกว่าสร้างเลียนแบบยังไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะเป็นเพียงการลอกแบบด้วยปณิธานสูงสุดเท่านั้นเอง

แม้ว่าจะเป็นเพียงการลอกแบบ แต่อานุภาพของมันก็น่ากลัวยิ่งนัก เนื่องจากกระบี่กระดูกแก่นนิรันดร์กาลเล่มนี้คืออาวุธหนัก เป็นอาวุธที่น่ากลัวยิ่งนักเล่มหนึ่ง

“ตึง ตึง ตึง…” ไม่ง่ายนักกว่าที่อู่ฟ่งหยิ่งจะลุกขึ้นมาได้ เวลานี้นางที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสดูกระเซอะกระเซิงยิ่ง บนร่างกายเต็มไปด้วยคราบเลือดที่ย้อมเสื้อเกราะนางจนแดงฉาน

หลังจากที่อู่ฟ่งหยิ่งลุกขึ้นมาได้แล้ว ขาทั้งสองข้างของนางดูอ่อนแรง ใบไหน้าขาวซีด ย่อมไม่ต้องสงสัยว่านางได้บาดเจ็บไม่เบาทีเดียว จากการที่หลี่ชิเย่ฟาดฟันกระบี่ออกไปตามอารมณ์ก็สามารถทำให้อู่ฟ่งหยิ่งต้องบาดเจ็บสาหัส มิฉะนั้นล่ะก็ ด้วยกำลังความสามารถของอู่ฟ่งหยิ่งแล้วนางจะต้องมีท่าทีที่กระฉับกระเฉงดั่งพยัคฆ์หรือมังกรแล้ว!

“เจ้าแพ้แล้ว” หลี่ชิเย่เพียงจ้องมองอู่ฟ่งหยิ่งทีหนึ่งด้วยท่าทีเอ้อระเหย กล่าวสำหรับเขาแล้ว ความพ่ายแพ้ของอู่ฟ่งหยิ่งไม่คู่ควรจะกล่าวถึงด้วยซ้ำ เกรงว่าไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกกลัวจนหัวหดกับการที่เขามีกระดูกแก่นนิรันดร์กาลอยู่ในมือ ต่อให้เป็นเพียงกระดูกแก่นนิรันดร์กาลที่ทำเลียนแบบขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังคงความสยองไร้ขอบเขตจำกัด

คำพูดที่เอ้อระเหยของหลี่ชิเย่ได้ทำให้ภายในใจของผู้ที่ดูชมเหตุการณ์จากระยะห่างไกลต้องสั่นเทา ขณะที่ผู้บำเพ็ญตนที่ต้องคุกเข่าลงกับพื้นยังไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ ดังนั้น ทุกคนต่างจ้องมองดูกระบี่กระดูกขาวที่อยู่ในมือของหลี่ชิเย่ด้วยความเคารพยำเกรง ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะดำรงอยู่ในฐานะเช่นใดก็ตาม เมื่อมองดูกระบี่กระดูกขาวเล่มนี้แล้วก็ต้องสะท้านภายในใจขึ้นมา

ไม่มีผู้ใดทราบว่ากระบี่กระดูกขาวเล่มนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ มันมีความเชื่อมโยงกับสวรรค์อย่างไรกันแน่ เพียงแค่กลิ่นอายที่ออกมาจากกระบี่กระดูกขาวเล่มนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนต้องเข่าอ่อนทั้งสองข้างแล้ว

“พูดจาไร้สาระ ขอเพียงข้ายังมีชีวิตอยู่ก็สามารถสู้ต่อไปได้” อู่ฟ่งหยิ่งร้องเสียงแหลมออกมา แม้ว่าท่าทางในขณะนี้ของนางดูจะตกที่นั่งลำบากอยู่ แต่กลับมีท่าทีที่รุนแรง เปี่ยมด้วยความอหังการไม่ได้หวาดหวั่นต่อสิ่งใด ยังคงมีความดุดันยิ่งนัก เหมือนเป็นเสือร้ายที่หลุดจากกรง ต่อให้ต้องต่อสู้หลั่งเลือดนางก็จะสู้ต่อไป นางไม่ใช่ผู้ที่จะยอมอ่อนข้อให้อย่างเด็ดขาด!

“เจ้าเมืองหลงเฉิน ถอนตัวเสียตอนนี้ยังมีโอกาส” ธิดาราชันฉีหลิน อดที่จะร้องตะโกนต่ออู่ฟ่งหยิ่งไม่ได้ ในขณะนี้แม้แต่ธิดาราชันฉีหลินก็รู้สึกเป็นกังวลต่ออู่ฟ่งหยิ่งแล้ว

ในใจของธิดาราชันฉีหลินรู้ดีว่า ต่อให้อู่ฟ่งหยิ่งมีฝีมือยอดเยี่ยมมากกว่านี้ มีวิธีการที่ฝืนลิขิตสวรรค์มากกว่านี้ ก็ไม่สามารถทำอะไรหลี่ชิเย่ได้ หรือต่อให้อู่ฟ่งหยิ่งได้สืบทอดชะตาฟ้าแล้ว เกรงว่าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ชิเย่

เมื่อไหร่ที่หลี่ชิเย่บังเกิดความคิดที่จะสังหารขึ้นมา ต่อให้อู่ฟ่งหยิ่งมีวิธีการอีกมากมาย มีอภินิหารหลากชนิดก็เปล่าประโยชน์ ต้องถูกสังหารเช่นกัน ถึงตอนนั้นคงมีเพียงตายสถานเดียว

ตระกูลราชันฉีหลิน กับหลงเฉินมีความสัมพันธ์ไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ยิ่งธิดาราชันฉีหลินด้วยแล้วมีความสัมพันธ์กับอู่ฟ่งหยิ่งอยู่ไม่น้อย ธิดาราชันฉีหลินจึงไม่ต้องการเห็นอู่ฟ่งหยิ่งต้องมาตาย ดังนั้นจึงออกปากโน้มน้าวและเตือนนาง

“มาสู้กันอีก!” อู่ฟ่งหยิ่งเป็นผู้หญิงที่ชอบเอาชนะและอันธพาลยิ่ง นางไม่รู้จักคำว่าอ่อนข้อ คำรามเสียงยาวออกมา เหินฟ้าขึ้นไปลอยอยู่บนท้องฟ้า ยังคงมีท่าทีที่รุนแรงและเปี่ยมด้วยความพาล

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล