“ถ้าไม่มีอุบายอะไรอีกแล้ว ส่งเจ้าออกเดินทางก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย และนิ้วมือที่ชี้ออกไปตามใจ “ปุ” ทารกมังกรหลวงพลันถูกบดขยี้จนกลายเป็นหมอกเลือดไปทันที
ทารกมังกรหลวงเข้าใจว่าตัวเองนั้นฉลาด นับตั้งแต่หลี่ชิเย่ได้ของวิเศษจากแหลมฮ่าวว่างมาครอบครอง เขาก็คิดวางแผนให้ร้ายหลี่ชิเย่ตลอดมา ดังนั้น เขาจึงได้ใส่ร้ายหลี่ชิเย่ที่ฝอเหย่
โดยที่เขามองว่า ขอเพียงแผนการร้ายของเขาประสบความสำเร็จ หลี่ชิเย่ก็จะกลายเป็นศัตรูกับผู้คนทั่วหล้า ถึงเวลานั้นทุกคนต่างจ้องจะสังหาร เมื่อมาถึงขั้นนั้น เกรงว่าหลี่ชิเย่ทำได้แค่ขอพึ่งพาอาศัยพวกเขา พึ่งพาอาจารย์ของเขา เมื่อถึงตอนนั้น สมบัติทั้งหมดของหลี่ชิเย่ก็คือหมูในอวยของเขา
อย่างไรก็ตาม แผนการร้ายที่ทารกมังกรหลวงเข้าใจไปเองว่ายอดเยี่ยม กลับกลายเป็นเรื่องที่ช่างน่าขันอะไรอย่างนั้นในสายตาของหลี่ชิเย่ ภายใต้พลังที่เด็ดขาดของเขา มันไร้ค่าคู่ควรจะกล่าวถึง เทียบไม่ได้กระทั่งฝุ่นผงเสียด้วยซ้ำ
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ได้ละสายตากลับมา มองดูของวิเศษแต่ละลังด้วยท่าทีเย็นชา และกล่าวว่า “มันเป็นของของใครก็เอากลับคืนไปกันเองก็แล้วกัน แค่เศษเหล็กเท่านั้นไม่เข้าตาข้า ของวิเศษภายในศาลเจ้าทองคำหยิบจับขึ้นมาสุ่มๆ สักชิ้นก็ดีกว่าพวกเศษเหล็กเหล่านี้แล้ว”
คำพูดนี้อันธพาลยิ่งนัก แต่ ไม่มีใครกล้าพูดสักคำในเวลานี้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่กล่าวโทษหลี่ชิเย่เมื่อครู่ก็ไม่กล้าพูดสักคำ แม้แต่ยินหัวลี่ก็นิ่งเงียบเช่นกัน
ทุกคนต่างเข้าใจแล้วว่า นี่เป็นแผนการร้ายของทารกมังกรหลวงเท่านั้นเอง กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่ที่ก้าวถึงจุดนั้นแล้ว สมบัติแต่ละลังที่กองอยู่บนพื้นนับเป็นเศษเหล็กโดยแท้ เฉกเช่นที่หลี่ชิเย่ได้พูดขึ้นมาเมื่อครู่ว่า เขาแค่เอามือคว้าไปตามอารมณ์จากศาลเจ้าทองคำก็ดีกว่าพวกเศษเหล็กเหล่านี้มากมายแล้ว
ไม่มีใครกล้าบ่น และไม่มีใครกล้าสงสัยในคำพูดของหลี่ชิเย่
ครั้นหลี่ชิเย่พาธิดาราชันฉีหลินจากไปแล้ว บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จึงทยอยกันเข้าไปค้นเอาของวิเศษของตนกลับคืน และพวกเขาไม่กล้าไปหยิบของของคนอื่น เนื่องจากอำนาจบารมีของหลี่ชิเย่ที่ยังคงวนเวียนอยู่กลางใจของพวกเขา พวกเขาไม่กล้าทำบุ่มบ่าม หากหลี่ชิเย่รู้เข้าล่ะก็ พวกเขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ดังนั้น แค่คำพูดที่พูดออกมาตามอารมณ์ของหลี่ชิเย่ มันคือกฎบัญญัติเหล็กที่ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืน
หลี่ชิเย่พาธิดาราชันฉีหลินจากไป ขณะเดินผ่านบริเวณที่ตั้งของระฆังใบนั้น หลี่ชิเย่แหงนหน้ามองขึ้นไปยังจักรวาลทีหนึ่ง
ท่ามกลางจักรวาลตรงนั้น ระฆังพุทธะยังคงแขวนห้อยอยู่บนที่สูงตรงนั้น ภายใต้อวกาศที่มีแต่ซากปรักหักพังปรากฎยอดฝีมือแต่ละคนที่หลบซ่อนตัวอยู่ รวมทั้งระดับจอมเทพ พวกเขาต่างรอคอยโอกาสที่จะดึงเอาระฆังใบนี้ลงมาให้ได้
เวลานี้ หลี่ชิเย่มองดูทีหนึ่งและยื่นมือออกไป พลันทะลุไปถึงจักรวาลคว้าไปที่ระฆังใบนั้น
“ตึง…” ระฆังเหมือนถูกเคาะตีให้ดังขึ้น แต่ว่าระฆังใบนั้นในเวลานี้กลับไม่โจมตีต่อหลี่ชิเย่ โดยตัวระฆังเองได้เปล่งรัศมีพุทธออกมา คล้ายดั่งประสานเสียงอย่างนั้น ด้วยเสียงที่ชื่นชมยินดีอย่างบอกไม่ถูก
ท่ามกลางเสียงระฆังที่ดังขึ้น มันถูกหลี่ชิเย่คว้าลงมาได้อย่างง่ายดาย เหมือนดั่งแหงนหน้าแล้วเก็บเอาผลไม้ผลหนึ่งลงมาอย่างนั้น ทำเอาบรรดายอดฝีมือ และจอมเทพผู้ที่หลบซ่อนตัวอยู่ตามดวงดาวขนาดใหญ่ หรืออุกาบาตรถึงกับจ้องมองจนตาค้าง
ทุกคนต่างรู้ดีว่า ระฆังพุทธะใบนี้องอาจห้าวหาญยิ่งนัก มีความยอดเยี่ยมมาก ไม่ด้อยไปกว่าศาสตราวุธเต๋าของจอมราชันเซียนหวังใดๆ ดังนั้น ผู้คนจำนวนมากจึงอยากได้ครอบครองจนน้ำลายหก ไม่ว่าใครก็ต้องการได้มันมาครอบครอง
แต่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีใครทำได้สำเร็จ แม้แต่จอมเทพระดับล่างก็ล้มเหลว เวลานี้หลี่ชิเย่เอื้อมมือข้างเดียวก็คว้าเอามาได้อย่างง่ายดาย ช่างสร้างความงุนงงให้กับผู้คนเหลือเกิน
“ผู้ชายคนที่กลับกลายเป็นพระคนนั้น…” หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นที่คว้าเอาระฆังพุทธะลงมาล่ะก็ ต้องถูกยอดฝีมือจำนวนมากล้อมโจมตีอย่างแน่นอน เกรงว่าบรรดาผู้ที่เฝ้ารอจังหวะระฆังพุทธะเหล่านั้นจะต้องลุกขึ้นมาโจมตีอย่างแน่นอน
แต่ว่า เมื่อพวกเขาเห็นว่าผู้ที่คว้าเอาระฆังใบนั้นลงมาก็คือหลี่ชิเย่แล้ว พวกเขาได้แต่ทอดถอนใจออกมา ได้แต่รับว่าตนเองนั้นโชคร้าย การเฝ้ารอคอยมาหลายสิบปีกระทั่งหลายพันปีของตนได้มาเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นเอง
เนื่องจากทุกคนต่างมองเห็นภาพที่หลี่ชิเย่บดขยี้ระดับจอมเทพเหมือนขยี้มดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้น หากพวกเขากล้าไปหาเรื่องหลี่ชิเย่ล่ะก็ เท่ากับเป็นการรนหาที่ตายเอง!
สุดท้าย บรรดายอดฝีมือกระทั่งระดับจอมเทพที่เฝ้ารออยู่ทั้งหมดก็ได้สลายตัวกันไป ต่อให้พวกเขาอยากได้ระฆังพุทธะใบนี้เป็นอันมากก็ได้แต่มองดูและทอดถอนใจออกมา
หลังจากที่หลี่ชิเย่คว้าเอาระฆังพุทธะใบนี้ลงมาได้แล้ว ยื่นมือปัดเบาๆ ทีหนึ่ง ปัดเอากฎแห่งกรรมออกไป จากนั้นมอบระฆังใบนี้ให้กับธิดาราชันฉีหลินที่อยู่ข้างกาย กล่าวเรียบๆ ว่า “เจ้ามีวาสนากับพุทธศาสนา นำเอาระฆังพุทธะใบนี้ติดตัวเอาไว้ก็แล้วกัน จะทำให้เจ้าได้ประโยชน์”
“กฎแห่งกรรมนี้…” ธิดาราชันฉีหลินถึงกับตระหนกและเอ่ยขึ้นมา แม้จะกล่าวว่าหลี่ชิเย่ได้ปัดเอากฎแห่งกรรมออกไป แต่กฎแห่งกรรมไม่ได้หายไปไหน มันไปเพิ่มอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่
“กฎแห่งกรรมที่ข้าแบกรับอยู่หาใช่เจ้าสามารถจินตนาการได้ กับกฎแห่งกรรมเพียงเท่านี้กล่าวสำหรับข้าแล้วไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึง” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังสามารถลอกจากคราบของพุทธะได้”
ท่ามกลางฝอเหย่ยังจะมีกฎแห่งกรรมใดน่ากลัวเสียยิ่งกว่าเมล็ดพันธุ์พุทธะเสียอีก บนตัวของเขาขณะนี้มีเมล็ดพันธุ์พุทธะอยู่ ต่อให้เอากฎแห่งกรรมของระฆังใบนี้รวมเข้าไปบนตัวของเขา เมื่อเปรียบกับกฎแห่งกรรมของเมล็ดพันธุ์พุทธะแล้ว ไม่นับเป็นอะไรเลย
“ขอบคุณคุณชาย” ธิดาราชันฉีหลินได้สติคืนกลับมา รับระฆังพุทธะใบนั้นเอาไว้ แล้วคารวะต่อหลี่ชิเย่อย่างลึกซึ้งโดยไม่ได้ปฏิเสธ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า หลานสาวคนเก่ง ไม่นึกเลยว่าเจ้าก็มาที่ฝอเหย่เหมือนกัน” ในเวลานี้เอง ผู้เฒ่าผู้หนึ่งเหินฟ้าลงมา กล่าวพร้อมกับหัวเราะด้วยท่าทีเปิดเผยตรงไปตรงมา
ผู้ที่เหินฟ้าลงมาเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ มีคู่ดวงตาที่โตมากดุจกระดิ่งวัว ไว้หนวดสั้นและแข็งดุจแปรงเหล็ก แลดูทรงกำลังอำนาจยิ่ง จากผมสีดอกเลาสามารถดูออกว่าเขามีอายุมากแล้ว แต่ยังคงคล่องแคล่วดั่งมังกรแลพยัคฆ์ ต้องเป็นขุนพลที่ดุดันอย่างแน่นอน
“ท่านลุงหลิน…” ธิดาราชันฉีหลินเองให้รู้สึกเหนือความคาดคิดที่ได้เห็นผู้เฒ่าผู้นี้ กล่าวว่า “ท่านก็อยู่ที่นี่นะเนี่ย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...