คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้ผู้เฒ่าเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา เผยให้เห็นถึงน้ำใจและจิตใจที่ซื่อตรงและอ่อนโยน การที่เขาเผยรอยยิ้มที่มีความสุขและอบอุ่นออกมา และกล่าวว่า “ไม่พบกันเสียนานสหายเก่า”
“ไม่พบกันนานสหายเก่า” หลี่ชิเย่เองก็ดูสบายใจและสบายๆ กล่าวทอดถอนใจออกมา “กาลเวลาเคลื่อนผ่าน นำพาทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไป แต่กลับไม่สามารถนำเอาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้ากับข้าไปได้”
“หนทางยาวไกล มีเพียงจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้าที่มองเห็นแสงปลายอุโมงค์ได้ โลกของเจ้า ยุคสมัยของเจ้าล้วนแล้วแต่ฝากเอาไว้บนตัวของเจ้า สหายของข้า” ผู้เฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“เจ้าคิดมากไปแล้ว” หลี่ชิเย่หัวเราะออกมา และกล่าวว่า “เจ้าก็คือเจ้า ข้าคือข้า เจ้าเป็นปราชญ์ ข้าคือมารร้าย เจ้าสามารถช่วยโลก ขณะที่ข้าเป็นเพียงคนที่เดินผ่านไปเท่านั้น โลกอันยิ่งใหญ่ เป็นเพียงจอกแหนที่ล่องลอยในสายตาของข้าเท่านั้น”
“นั่นเป็นเพียงการคิดไปเองเท่านั้น” ผู้เฒ่ากล่าวว่า “ข้าเข้าสู่ยุทธภพด้วยความเป็นปราชญ์ ต่อต้านความอำนาจมืด ช่วยเหลือไถ่ชีวิตให้โลก ขณะที่เจ้าเข้าสู่ยุทธภพด้วยความกำแหง หวังเพียงการสู้รบครั้งสุดท้าย แต่เมื่อก้าวเดินจนถึงสุดท้ายแล้ว เส้นทางของเจ้ากับข้าก็บรรจบด้วยกัน ต่างกันที่วิธีการเท่านั้น”
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ กับคำพูดลักษณะเช่นนี้โดยไม่ได้โต้แย้ง การพบกันของคนทั้งสองเสมือนดั่งพี่น้อง เหมือนญาติ พวกเขามีความรู้สึกที่ใกล้ชิดสนิทสนม เนื่องจากพวกเขาต่างก็เป็นคนประเภทเดียวกัน
ภาษิตกล่าวไว้ว่า คนบางคนอยู่ด้วยกันมานานกลับแปลกหน้า คนบางคนเพิ่งพานพบเหมือนรู้จักกันมานานนั้น หมายถึงพวกเขาสองคนนี้แหละ
พวกเขาทั้งสองต่างก็ดำรงอยู่ในฐานะเช่นเดียวกัน ต่างมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งยากจะหาใดเทียมดวงหนึ่ง ต่างปล่อยเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ไปครึ่งค่อนยุคสมัย ต่างมุ่งมั่นก้าวไปข้างหน้าเพื่อเป้าหมายเดียวกันอย่างกล้าหาญ พวกเขาได้อะไรมามากมาย แต่สูญเสียไปมากยิ่งกว่า แต่พวกเขาไม่เคยเหลียวหลังกลับไป ไม่เคยนึกเสียใจ ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างทระนง
กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว อายุไม่ใช่สิ่งขวางกั้น ผู้เฒ่ามีอาวุโสมากกว่าหลี่ชิเย่จนไม่สามารถนับได้ เขาเป็นผู้ที่โชคดีและรอดมาได้จากยุคสมัยที่เนิ่นนานมากๆ และมีชีวิตอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ณ ที่ตรงนี้ แต่พวกเขากลับคบหากันในฐานะเท่าเทียมกัน คบหากันจนรู้ใจกันและกัน
“ข้าเกรงว่าจะไม่ไหวอยู่แล้ว กาลเวลามันเนิ่นนานเกินไปแล้ว” ผู้เฒ่ากล่าวน้ำเสียงอ่อนโยน
“วางใจเถอะ แม้ว่าประกายศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนี้จะไม่เหมือนเดิม แต่อาศัยความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
“ถึงข้ามีชีวิตอยู่ก็เหมือนดั่งเหล็กและหินเท่านั้น เว้นแต่จิตที่ยึดติดในใจแล้ว ไม่มีอะไรที่ปล่อยวางไม่ได้” รอยยิ้มของผู้เฒ่าอ่อนโยนมาก
“แล้วจะมีผู้ใดเล่าที่สามารถปล่อยวางจิตที่ยึดติดนั้นได้หละ” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
เมื่อพวกเขาได้พูดคุยมาถึงตรงนี้แล้ว อดที่จะนิ่งเงียบกัน กล่าวสำหรับพวกเขาแล้วหัวข้อสนทนาเรื่องนี้ช่างหนักอึ้งเหลือเกิน เป็นหัวข้อสนทนาที่กดทับอยู่ในใจของพวกเขามาตลอดทั้งยุคสมัย!
“ข้าเพิ่งจะเล่านิทานเรื่องผู้กล้ากลายเป็นมังกรชั่วร้ายกับคนอื่นไปเมื่อครู่นี้เอง” สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้หัวเราะขึ้นมาว่า “แม้ว่าพวกเขาต่างรู้ว่าผู้กล้ากลายเป็นมังกรชั่วร้าย แต่กลับไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว ชาวบ้านคนที่แอบสะกดรอยผู้กล้าคนนั้นมีชะตาชีวิตอย่างไร”
“ทุกคนต่างมีชะตาชีวิตที่แตกต่างกันไป” ผู้เฒ่าเพียงแค่ยิ้มๆ มองเรื่องนี้บางเบามาก และกล่าวว่า “ข้าไม่ได้เป็นคนเพียงหนึ่งเดียวที่พบความลับเรื่องนี้ และไม่ใช่หนึ่งเดียวที่พบเห็นเรื่องนี้กับตาตนเอง ในโลกนี้ผู้ที่ได้สติและเข้าใจแจ่มแจ้งมีมากมายเพียงใด”
“แต่ว่าปราชญ์ที่แท้จริงกลับมีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบๆ ว่า “ใช่ ในโลกนี้มีผู้ที่ล่วงรู้ความลับเช่นนี้ แต่ จะมีใครสามารถต่อต้านเล่า? ต่อให้สามารถก้าวออกมาต่อต้าน แล้วจะมีใครเล่าที่ทำได้เหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมา ปล่อยเวลาผ่านไปครึ่งค่อนยุคสมัยโดยเปล่าประโยชน์ ยังคงไม่ยอมปล่อยวางสิ่งที่ยึดติดอยู่ในใจนั่น!”
เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้ ได้จ้องมองไปที่ผู้เฒ่าและกล่าวต่อไปว่า “ดังนั้น เจ้าคือปราชญ์ มีปรัชญาเมธีมากยิ่งกว่าที่ได้กลายเป็นสมุน หรือบางทีกลายเป็นมังกรชั่วร้าย”
“บนเส้นทางสายนี้ก็มีปรัชญาเมธีจำนวนมากที่กลายเป็นโครงกระดูกแต่ละโครงไป” ผู้เฒ่ากล่าวด้วยกลัดกลุ้ม
“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่หยักหน้าเงียบๆ และกล่าวว่า “แต่ ไม่มีความตาย ไหนเลยจะมีแสงอรุโณทัย ไม่มีแสงอรุโณทัยไหนเลยจะมีชัยชนะ?”
“ยุคสมัยของพวกเราสิ้นสุดลงแล้ว แม้ว่าพวกเขายังคงหยั่งรากอยู่ท่ามกลางยุคสมัยที่แตกละเอียดนี้ แต่สุดท้ายก็ต้องจบลง ยุคสมัยนี้ไม่สามารถยืดเยื้อต่อไปได้ แต่ว่ายุคสมัยของเจ้ายังมีโอกาส เจ้ายังมีโอกาสต่อสู้กับสวรรค์สักครั้ง ขอเพียงเจ้าชนะ เจ้าก็จะสามารถให้ยุคสมัยของเจ้าคงอยู่ต่อไปได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านไปจะกลายเป็นงฝุ่นผงของประวัติศาสตร์ บางทีเมื่อถึงวันนั้น วิญญาณที่ร้องโหยหวนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไม่สามารถเวียนว่ายตายเกิดจึงจะสงบลงได้ สามารถสลายหายไปท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา มิฉะนั้นล่ะก็ ทุกคนต่างวนเวียนอยู่โดยที่เงาทมิฬไม่อาจสลายไปได้ตลอดกาล”
เมื่อเขากล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ถึงกับมีท่าทีที่สลด
“อาจจะอย่างนั้นมั้ง” หลี่ชิเย่เพียงยิ้มจางๆ และหลี่ชิเย่ “ทั้งหมดนี้ข้าไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแต่เพียงทลายสวรรค์เท่านั้นเอง ไม่ตายไม่เลิก ชาตินี้ขอสู้รบจนถึงที่สุด จะเป็นหรือตายล้วนแล้วแต่ไม่มีความสำคัญอีกแล้ว”
“ไม่ เจ้าจะต้องได้รับชัยชนะกลับมา” ผู้เฒ่ากล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “ทอดสายตาไปในยุคสมัยของเจ้า หากแม้แต่เจ้ายังไม่สามารถได้รับชัยชนะกลับมาล่ะก็ ยุคสมัยของเจ้าก็หมดหวังเสียแล้ว แม้ว่าในยุคสมัยของเจ้าก็เคยมีคนพยายามอยู่ก่อน แต่ไม่มีใครสามารถก้าวเดินได้เด็ดขาดเช่นเจ้า! ส่วนใหญ่เอาตัวรอดทั้งนั้น ถ้าหากเจ้าต้องตายอยู่ที่สุดปลายทางของโลก เมื่อเป็นเช่นนั้นยุคสมัยของเจ้าก็ต้องตกอยู่ในความมืด ภาพของการนองเลือดต้องย้อนกลับมาแสดงในยุคสมัยของเจ้าอีกครั้ง กระทั่งทำลายล้างจนสิ้น”
“ข้าไม่ใช้พระเจ้าที่ช่วยโลก” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าช่วยเหลือโลกไม่ได้ ช่วยจิตใจของมนุษย์ไม่ได้ ถ้าหากเจ้าคาดหวังให้ข้าดำรงอยู่ในสถานะเหมือนดั่งเจ้า เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้แล้วหละ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...