“ขึ้น…” หลังจากที่ธงราชันแต่ละอันได้ปักลงไปในภูเขาแต่ละลูกแล้ว ราชันสวรรค์ขวางเส้าร้องคำรามเสียงทุ้มต่ำทีหนึ่ง ทำมือท่ามุทรา อานุภาพจอมราชันตลบอบอวล หลักกฎเกณฑ์จอมราชันดังตึงตึงขึ้นมา
“ตูม ตูม ตูม” นาทีนี้ เสียงดังตูมตามดังขึ้นเป็นระลอกไม่ขาดสาย มองเห็นธงราชันปรากฎกลิ่นอายขมุกขมัวที่ทิ้งตัวลงมา ทันใดนั้น กลิ่นอายขมุกขมัวได้ตลบอบอวลไปทั่วฟ้าดินจนเต็มพื้นที่ไม่เหลือช่องว่างอีกเลย
นาทีนี้เองได้ยินเสียงเหมือนโลหะกระทบกันดัง “ตึง ตึง ตึง” มองเห็นหลักสัจธรรมแต่ละสายสลับไขว้กันไปมา ภายในระยะเวลาอันสั้นถึงกับกลายเป็นค่ายกลจอมราชันขึ้นมา
จากนั้น ได้ยินเสียงดัง “แว้งค์” ธงราชันแต่ละอันที่ปักอยู่ตามภูเขาได้พวยพุ่งเป็นประกายจอมราชันขึ้นมา เสมือนดั่งเป็นน้ำตกสวรรค์ที่เทราดลงมาอย่างนั้น ประกายจอมราชันที่ดั่งน้ำตกสวรรค์นี้ใช้ว่าจะไหลบ่าไปทั่วไร้ทิศทาง เพียงชั่วพริบตาเดียว ประกายจอมราชันที่พลุ่งพล่านทั้งหมดพลันประกอบเข้าเป็นร่างแห คล้ายเป็นชามขนาดใหญ่ที่พราวพร่างครอบลงบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ขึ้นลงสลับบริเวณนี้ โดยได้ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของภูเขาเอาไว้
มองเห็นราชันสวรรค์ขวางเส้าที่สามารถทำการสร้างเป็นร่างแหครอบคลุมพื้นที่ที่เป็นภูเขาแห่งนี้ไว้ในพริบตา คนอื่นๆ ต่างไม่กล้าเข้าไปใกล้ และไม่กล้าล้ำเส้นแม้เพียงครึ่งก้าว จะอย่างไรเสียไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการไปมีเรื่องกับจอมราชันเซียนหวัง ยิ่งไปกว่านั้นราชันสวรรค์ขวางเส้าแตกต่างจากจอมราชันเซียนหวัง คนอื่นๆ ราชันสวรรค์ขวางเส้าเป็นผู้ที่ยโสและชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ จอมราชันเซียนหวังอื่นๆ จะไม่ไปถือสาบรรดารุ่นเยาว์ แต่ ราชันสวรรค์ขวางเส้ากลับแตกต่าง เขาไม่สนว่าคนผู้นั้นเป็นใคร และจะลงมือแน่นอนเพียงเพราะมองแล้วไม่สบอารมณ์
ด้วยนิสัยที่ยโสและชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ของราชันสวรรค์ขวางเส้านี่เอง จึงมีผู้ที่ซุบซิบกันว่า ราชันสวรรค์ขวางเส้าคือผู้ที่ปราศจากท่วงทีกิริยาท่าทางที่งดงาม ไม่มีความอดทนอดกลั้นมากที่สุดในบรรดาจอมราชันเซียนหวังทั้งหมด
“ทำลาย…” หลังจากที่ทำการวางร่างแหครอลคลุมพื้นที่เอาไว้แล้ว ราชันสวรรค์ขวางเส้าหมายตายอดเขาลูกหนึ่งเอาไว้และมีการลงมือในทันที หนึ่งหมัดในท่ามุทรา เห็นเพียงประกายสีทองแวบวับ หนึ่งหมัดนั้นเสมือนดั่งลูกอุกาบาตรที่พุ่งชนเข้าไป
“ตูม ตูม ตูม” เสียงฟ้าถล่มแผ่นดินทลายดังขึ้นเป็นระลอก จากการซัดใส่เข้าไปยังยอดเขาลูกนี้ ส่งผลให้ยอดเขาลูกนี้แตกละเอียดในทันที เศษหินเศษดินจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายร่วงหล่นลง ยอดเขาถูกทำลายในหมัดเดียว บรรดาเศษหินเศษดินตกลงไปในหุบเขา
หลังจากที่ยอดเขาแตกละเอียดไปแล้ว มองเห็นที่ตรงนั้นปรากฏเป็นถ้ำหิน โดยที่ถ้ำหินดังกล่าวมีลักษณะลาดชันเทลงสู่เบื้องล่างที่มืดมิด เสมือนหนึ่งเป็นเส้นทางที่เชื่อมลงสู่นรกอเวจีอย่างนั้น
ด้านข้างของถ้ำหินมีการแกะสลักอักขระโบราณ และอักขระยันต์เอาไว้เป็นจำนวนมาก เหมือนว่าอักขระโบราณ และอักขระยันต์เหล่านี้ได้มีการสลักเอาไว้ตั้งแต่ยุคสมัยที่ดึกดำบรรพ์มาก คล้ายดั่งมีไว้เพื่อเป็นการผนึกปากถ้ำนี้เอาไว้
เพียงแต่เวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานมาก ทำให้อักขระยันต์และอักขระโบราณที่ได้แกะสลักเอาไว้สูญเสียพลังของมันเองไปแล้ว ภายใต้การโจมตีจากราชันสวรรค์ขวางเส้าในเวลานี้ จึงทำให้ อักขระยันต์และอักขระโบราณทั้งหมดถูกเปิดออก พลังผนึกปิดกั้นถูกทำลายไปทั้งหมด
ถ้ำหินที่ปรากฏออกมามืดดำสนิท ปรากฏลมที่เยือกเย็นพัดออกมาจากบริเวณที่ดำมืดนั่น ผู้คนจำนวนมากถึงกับสั่นเทิ้มเมื่อได้เห็นถ้ำหินลักษณะเช่นนี้ ถ้ำหินนี้ดูไปแล้วคล้ายดั่งเป็นปากเปื้อนเลือดขนาดใหญ่ของสัตว์ร้ายในยุคดึกดำบรรพ์ที่กำลังอ้าปากกว้าง พร้อมที่จะกลืนกินสิ่งมีชีวิตเข้าไป
แม้ว่าทุกคนไม่สามารถมองเห็นสภาพภายในถ้ำหินได้อย่างชัดเจน แต่ลางสังหรณ์บอกกับทุกคนว่า ภายในถ้ำแห่งนี้ต้องมีสิ่งที่น่ากลัวมากอย่างแน่นอน ดังนั้น ขณะที่ผู้คนจำนวนมากจับจ้องที่ถ้ำหินต่างรู้สึกขนลุกซู่ภายในใจ
“ออกมาเถอะ สัตว์ร้ายในยุคดึกดำบรรพ์” ในเวลานี้ราชันสวรรค์ขวางเส้าคำรามเสียงทุ้มต่ำออกมาด้วยลักษณะท่าทางที่ฮึกเหิมและลำพองใจ เรียกได้ว่าราชันสวรรค์ขวางเส้ามีหน้าตาที่ดีมาก นับเป็นบุรุษรูปงามแห่งยุคได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะยามที่เขาดูสดชื่นเปล่งปลั่งนั้นดูมีเสน่ห์ดึงดูดใจมากเป็นพิเศษ แต่ว่า ตัวเขาที่อยู่ในฐานะจอมราชันกลับขาดความหนักแน่นและความฉลาดหลักแหลมและมองการณ์ไกล
พลันที่ราชันสวรรค์ขวางเส้ากล่าวขาดคำ ได้ยินเสียงดังเสียงหนึ่ง ท่ามกลางความมืดปรากฎสายตาคู่หนึ่งที่ลืมตาขึ้นมา ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เมื่อเห็นคู่ดวงตาที่มีสีแดงดั่งสีเลือดนั้นลืมตาขึ้นมา สามารถมองเห็นประกายสีแดงที่เต้นระริก เหมือนเป็นดวงตาเลือดคู่หนึ่งอย่างนั้น
ยามที่ประกายตาของดวงตาเลือดคู่นี้เต้นระริกนั้น ในใจของผู้คนจำนวนมากรู้สึกหวาดกลัว เนื่องจากพวกเขาเหมือนว่าได้เห็นสัตว์ร้ายที่ชื่นชอบเลือดกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ในทันใด นาทีนี้ทุกคนเหมือนเห็นเป็นภาพลวงตาว่าตนเองนั้นได้กลายเป็นเหยื่อของสัตว์ร้ายตัวนี้ไปแล้ว
“ตึง ตึง ตึง” ในเวลานี้เสียงของโซ่ที่มีน้ำหนักมากดังขึ้นเป็นระลอก เสมือนว่ามีอะไรบางสิ่งกำลังลากสายโซ่ที่หนักอึ้งอย่างนั้น
จากนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าดัง “ตูม ตูม ตูม” เป็นฝีเท้าที่ลงน้ำหนักมากยากจะหาใดเทียมดังขึ้นเป็นระลอก ขณะที่เสียงฝีเท้าที่หนักอึ้งดังขึ้นนั้น กระทั่งแผ่นดินยังสะเทือนหวั่นไหว เหมือนว่าแต่ละก้าวของฝีเท้านี้สามารถเหยียบยอดเขาจนแตกละเอียดได้อย่างนั้น
สุดท้าย ปรากฏสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งคลานออกมาจากถ้ำ สัตว์ประหลาดตัวนี้มีเกล็ดสีดำปกคลุมทั่วร่าง ดูไปแล้วเหมือนเกล็ดของมังกร แต่กลับมีหมอกควันสีดำล้อมรอบ ไม่เหมือนดั่งเกล็ดมังกรที่แผ่กลิ่นอายของมังกรออกมา
แม้ว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้จะมีหัวเดียว แต่บนหัวของมันกลับเต็มไปด้วยหนามกระดูกที่แหลมคมเรียงเป็นแถวเป็นแนวทอดไปตามลำตัวกระทั่งถึงส่วนของหาง หนามกระดูกขนาดยาวที่เรียงเป็นแนวยาวเช่นนี้แลดูน่ากลัวเป็นอันมาก โดยเฉพาะที่หนามกระดูกสีขาวส่งประกายที่น่าครั่นคร้ามระเคืองตาออกมา เหมือนว่าพร้อมจะทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของผู้คน
สัตว์ประหลาดตัวนี้เหมือนงูและคล้ายสุนัข มันมีลำตัวดั่งงู และกลับมีสี่ขาเหมือนสุนัข ขณะที่หางของมันมีส่วนคล้ายกับหางของจระเข้ ที่น่าประหลาดมากกว่านั้นก็คือ มันมีใบหูที่ทั้งใหญ่และหนัก เหมือนดั่งหูช้าง
สัตว์ประหลาดเคลื่อนไหวช้ามาก และดูเหมือนต้องใช้แรงมาก ทิ้งรอยเท้าเอาไว้ทุกย่างก้าว มันคลานออกมาจากถ้ำหินอย่างช้าๆ การที่สัตว์ประหลาดตัวนี้คลานได้ช้าและกินแรงเป็นเพราะมีเครื่องพันธนาการอยู่บนตัว โดยเครื่องพันธนาการนี้โยงกับโซ่เหล็กขนาดยักษ์สี่เส้น ไม่รู้ว่าโซ่เหล็กทั้งสี่เส้นนี้สร้างขึ้นด้วยโลหะศักดิ์สิทธิ์เช่นใด ส่งประกายเย็นยะเยือกวูบวาบเป็นระยะๆ
“ตูม ตูม ตูม…” เสียงดังตูมตามดังขึ้นเป็นระลอก แต่ละก้าวของสัตว์ประหลาดได้ฝากรอยเท้าที่ลึกมากลงบนพื้น โดยพื้นหินแตกละเอียดทันทีที่ถูกมันเหยียบ มันลากเอาโซ่เหล็กก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...