ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้เมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้ ต่างรวบรวมสมาธิมองดูองค์หญิงเทียนหวงกับหลี่ชิเย่
ไม่ว่าจะเป็นผู้คนจำนวนมากที่ตระหนกตกใจกับการแสดงความอ่อนแอขององค์หญิงเทียนหวง หรือนับถือในความเฉลียวฉลาดและมองการณ์ไกลขององค์หญิงเทียนหวง นาทีนี้ต่างรอคอยคำตอบของหลี่ชิเย่
ทุกคนล้วนแล้วแต่อยากจะรู้ว่า ภายใต้การยอมอ่อนข้อให้ขององค์หญิงเทียนหวงเช่นนี้แล้ว หลี่ชิเย่จะยอมยกเลิกบุญคุณความแค้นในครั้งนี้ไปหรือไม่
หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและมองดูองค์หญิงเทียนหวง กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ผู้รู้จักสถานการณ์เป็นยอดคน ความเจ็บปวดจากการเฉือนเนื้อ ในเมื่อเจ้ายอมปล่อยผ่านไป หากข้ายังจะถือสาหาความหยุมหยิม เท่ากับว่าข้าเป็นคนใจแคบ เอาเถอะ ผู้ตายไปแล้วก็ปล่อยให้ล่องลอยไปตามลมก็แล้วกัน บุญคุณความแค้นที่ผ่านมาให้มันสิ้นสุดเพียงเท่านี้”
องค์หญิงเทียนหวงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ไม่ลืมแสดงคารวะต่อหลี่ชิเย่ด้วยความเคารพ และกล่าวว่า “ข้าน้อยขอบคุณในความใจกว้างของคุณชายหลี่ ณ โอกาสนี้ด้วย”
ไม่ว่าจะเป็นคนของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง หรือว่าบรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ยืนดูอยู่ในระยะห่างไกล ต่างตกอยู่ในความนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน เมื่อมองเห็นผลที่ออกมาเช่นนี้
บางทีอาจมีผู้ที่รู้สึกว่าองค์หญิงเทียนหวงนั้นอ่อนแอเกินไป แค้นที่ฆ่าบิดาฆ่าน้องให้มันสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นเกรงว่าคงทนไม่ได้ เกรงว่าคงยากจะกล้ำกลืนความอัปยศเช่นนี้ได้
แต่ผู้คนจำนวนมากกว่า โดยเฉพาะบรรดาระดับบรรพบุรุษที่ผ่านอุปสรรคมามากมายกลับไม่รู้สึกว่านี่คือความอ่อนแอขององค์หญิงเทียนหวง ยิ่งรู้สึกได้ว่านี่คือความเฉลียวฉลาดและมองการณ์ไกลขององค์หญิงเทียนหวง
จะอย่างไรเสีย นางก็คือผู้ที่แต่งเข้าเป็นสะใภ้ของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง นางไม่ต้องการนำพาเอาบุญคุณความแค้นของครอบครัวฝ่ายตนเข้าไปยังตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง และไม่ได้นำเอาไฟสงครามที่เกิดจากความแค้นของครอบครัวลุกไหม้ลามเข้าไปในตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง
ย่อมไม่ต้องสงสัย องค์หญิงเทียนหวงถือเอาสถานการณ์โดยรวมเป็นสำคัญ นางไม่ได้ลืมฐานะของตนเอง ไม่ได้ลืมว่าตนเองคือสะใภ้ของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง การที่นางแต่งเข้าบ้านตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง ไม่เพียงแค่เสพสุขลาภยศสรรเสริญเงินทอง แต่ควรแบกรับภาระที่ถือเอาผลประโยชน์ของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังเป็นสำคัญ!
การที่องค์หญิงเทียนหวงสามารถได้รับการยอมรับจากบรรดาระดับบรรพบุรุษจำนวนมาก รวมทั้งจอมราชันของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดาย การที่นางมีฐานะเช่นทุกวันนี้ได้ ย่อมมีสิ่งที่เหนือผู้คนอยู่ในตัว
เวลานี้ หลี่ชิเย่หัวเราะและเดินหน้ามุ่งไปยังยอดเขา ขณะหลี่ชิเย่เดินหน้าเพื่อขึ้นไปบนยอดเขานั้น ทำให้กองทัพนับล้านของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังรู้สึกเกร็งขึ้นมา ยิ่งบรรดาเหล่าบรรพบุรุษที่ทำหน้าที่เฝ้าด่านด้วยแล้วถึงกับอยู่ในสภาพพร้อมรบ
เพียงชั่วพริบตาเดียว บรรยากาศได้กลับสู่ความตึงเครียดอีกครั้ง กองทัพนับล้านของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังพลันอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด
แม้จะกล่าวว่า หลี่ชิเย่นั้นตกลงให้ความแค้นระหว่างเขากับองค์หญิงเทียนหวงเลิกแล้วต่อกัน แต่ เขาไม่ได้บอกว่าจะไม่ลอบโจมตีการก้าวสู่เป็นจอมราชันของจินเก๋อ แล้วจะไม่ให้กองทัพนับล้านของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังตื่นเต้นได้อย่างไร
ความจริงแล้วผู้คนจำนวนมากต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ขณะมองเห็นหลี่ชิเย่ก้าวเดินขึ้นไปยังยอดเขา พวกเขาต่างเข้าใจว่าหลี่ชิเย่ต้องการลอบโจมตีจินเก๋อที่กำลังจะสืบทอดชะตาฟ้า
ขณะที่บรรดาบรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังกำลังอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดอยู่นั้น องค์หญิงเทียนหวงที่ยืนอยู่ด้านหลังได้ส่ายหน้าเบาๆ ส่งสัญญาณให้บรรดาเหล่าบรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังอย่าได้ลงมือ
เหล่าบรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังทำท่าลังเลนิดหนึ่ง สุดท้าย “เอี๊ยด” บรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังได้เปิดด่านยอมให้หลี่ชิเย่ผ่านเข้าไปได้
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มจางๆ กับภาพเช่นนี้ ก้าวข้ามแนวกั้นของด่าน เดินขึ้นไปบนยอดเขาอย่างเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรต้องตระหนกแทน เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ที่ก้าวเดินไปช้าๆ อย่างมีความสุข ท่ามกลางกองทัพนับล้านของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง นี้มันเป็นการเดินเข้าไปยังปากเสือเองชัดๆ การที่เดินเข้าไปท่ามกลางกองทัพนับล้านโดยลำพังตนเอง หากไม่ทันระวังก็จะถูกล้อมด้วยกองทัพนับล้านจนต้องตาย
ความจริงแล้วไม่เพียงบุคคลภายนอกที่รู้สึกตื่นเต้น แม้แต่กองทัพนับล้านของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังเองก็ตื่นเต้น พวกเขาถึงกับกำอาวุธที่อยู่ในมือแน่น
แม้จะกล่าวว่าการที่หลี่ชิเย่เดินอยู่ท่ามกลางกองทัพนับล้านของพวกเขา ทำให้พวกเขาง่ายต่อการที่จะปิดล้อมโจมตี แต่ทว่า พวกเขาก็กลัวหลี่ชิเย่ก่อการขึ้นมาและหันมาโจมตีพวกเขาอย่างกะทันหัน
หลี่ชิเย่ก้าวขึ้นไปอยู่บนยอดเขา ยืนอยู่ด้านหน้าปะรำพิธี มองดูจินเก๋อที่อยู่บนปะรำพิธีแวบหนึ่ง ขณะที่จินเก๋อกำลังรวบรวมสมาธิทั้งหมดเพื่อรับรู้ถึงพลังของฟ้าดินโดยตลอด ไม่มีจิตที่วอกแวก ต่อให้หลี่ชิเย่มาถึงเขาก็ไม่ได้เสียสมาธิเพราะเหตุนี้
ในขณะนี้ ผู้ที่เหงื่อเย็นไหลออกมากลางฝ่ามือไม่ใช่บุคคลภายนอก แต่เป็นกองทัพนับล้านของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง ในเวลานี้บรรดาระดับบรรพบุรุษทั้งหมดของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ พวกเขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
พวกเขาต่างมีความรู้สึกว่า การปล่อยให้หลี่ชิเย่เข้ามาเป็นการกระทำที่เสี่ยงมาก เกิดหลี่ชิเย่คิดก่อการขึ้นมาด้วยการโจมตีใส่จินเก๋อล่ะก็ กล่าวสำหรับตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังของพวกเขาแล้ว นับเป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถประเมินได้เลยทีเดียว
หลี่ชิเย่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ยิ้มเฉยเมยและกล่าวเอ้อระเหยออกมาว่า “พวกเจ้าคิดว่าจะเปิดประตูต้อนรับเอง หรือว่าจะให้ข้าบุกฝ่าเข้าไปเองดีหละ?” หลังจากที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกไปแล้ว บนท้องฟ้าเงียบกริบ บุคคลภายนอกไม่มีวันรู้หรอกว่าหลี่ชิเย่กำลังพูดกับใครอยู่
แต่ทว่า นาทีนี้เองได้ยินเสียงดัง “แว้งค์” ปรากฎอักขระยันต์เคลื่อนไหวอยู่ใต้ฝ่าเท้าของหลี่ชิเย่ ตัวอักขระยันต์เสมือนหนึ่งเป็นประตูบานหนึ่ง เพียงชั่วพริบตาเดียวได้ยินเสียง “แว้งค์” อีกครั้ง ร่างของหลี่ชิเย่หายวับไปจากตรงนั้น เหมือนว่าเขาไม่เคยปรากฏตัวอยู่ที่ตรงนั้นมาก่อน
การที่หลี่ชิเย่หายตัวไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่มองดูอยู่ในระยะห่างไกลต่างมองหน้ากันและกัน ผู้คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่ไม่เข้าใจว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
สำหรับบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง พวกเขาต่างรู้ดีว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น และเนื่องเพราะเหตุนี้เอง ทำให้พวกเขาถึงกับโล่งอก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...