คำพูดของกู่ฉวี่หังก้องกังวานอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้า คำพูดของเขาฟังดูเหมือนเป็นการยกย่องหลี่ชิเย่ แต่ความจริงแล้ว บรรดานักศึกษาที่อยู่ได้เหตุการณ์พลันได้ยิน มันไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
เวลานี้นักศึกษาที่เข้าไปนั่งฟังในลานธรรมมีเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น ขณะที่ด้านนอกของลานธรรมมีนักศึกษาจำนวนนับหมื่น สภาพเช่นนี้เป็นไปได้อย่างไรที่เรียกว่ากระหายอยากที่จะเรียนรู้ ทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกได้ทันทีว่าเป็นการเยาะเย้ย
“นั่นสิ พวกเราต่างกระหายอยากจะเรียนรู้ รอฟังการบรรยายอยู่นะเนี่ย” มีนักศึกษาร้องเสียงดังขึ้นมา คำพูดนี้บ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นการเยาะเย้ย
“กระหายอยากจะเรียนรู้…” ในเวลานี้ นักศึกษาจำนวนมากหัวเราะเสียงดังออกมา
ใช่ว่านักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์จะมีความเป็นศัตรูกับหลี่ชิเย่ ใครใช้ให้กู่ฉวี่หังได้รับความนิยมสูงขนาดนั้น ใครใช้ให้กู่ฉวี่หังมีชื่อเสียงโด่งดังขนาดนี้ในสถาบันศึกษาเทพเจ้า นักศึกษาจำนวนนับไม่ถ้วนที่ชื่นชมศรัทธาและเลื่อมใสในตัวเขา
หากจะกล่าวว่า ระหว่างหลี่ชิเย่กับกู่ฉวี่หังจะต้องเลือกคนใดคนหนึ่ง เช่นนั้นแล้วนักศึกษาส่วนใหญ่ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ต้องไม่ลังเลที่จะเลือกยืนอยู่ข้างฝ่ายของกู่ฉวี่หัง จะอย่างไรเสียกล่าวสำหรับนักศึกษาจำนวนมากแล้ว หลี่ชิเย่เป็นเพียงประเภทที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามเท่านั้นเอง
“พี่ฉวี่หังอย่าใจร้อน การบรรยายของคุณชายหลี่ควรค่าแก่พวกเรารอคอย เหล่าผู้เฒ่าเองก็ยินดีรอ” เวลานี้เสียงที่เหมือนดั่งเสียงธรรมชาติดังขึ้น ผู้หญิงคนหนึ่งลอยล่องมาถึง เสมือนหนึ่งเทพธิดาลงมายังโลกมนุษย์ ปราดเปรื่องน่าทึ่งปราศจากผู้เทียบเทียม ทำให้ผู้พบเห็นต่างมีจิตเคลิบเคลิ้มหลงไหล
“อาจารย์เชียนเสวียนก็มาแล้ว” สายตาของนักศึกษาทั้งหมดพลันถูกดึงดูดเอาไว้ เมื่อมองเห็นผู้หญิงที่งดงามดั่งเทพธิดาลงมาจากสวรรค์ มีนักศึกษาที่ร้องเสียงดังขึ้นมา
ผู้ที่มาถึงก็คืออวี่เชียนเสวียนนั่นเอง หลังจากที่อวี่เชียนเสวียนมาถึงแล้วได้กล่าวว่า “โชคดีที่มาทัน สามารถได้ฟังคำสั่งสอนของคุณชาย” กล่าวพลางรีบเข้านั่งประจำที่
การมาของอวี่เชียนเสวียนพลันทำให้นักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกงงงัน ในบรรดาอาจารย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ความนิยมชมชอบของอวี่เชียนเสวียนสามารถเทียบเคียงกับกู่ฉวี่หังได้อย่างแน่นอน
ขณะกู่ฉวี่หังบรรยาย อวี่เชียนเสวียนไม่ได้มาให้การสนับสนุน แต่หลี่ชิเย่ยังไม่ทันได้มาบรรยาย อวี่เชียนเสวียนกลับมาให้การสนับสนุนแต่วัน
สีหน้าของกู่ฉวี่หังถึงกับเปลี่ยนไป แต่ว่าเขายังคงเผยรอยยิ้มออกมา ยังคงรักษาท่วงท่าสง่างามเหนือผู้คน
ในเวลานี้เอง มีคนสองคนเดินเข้าหุบเขามา และมาถึงด้านนอกของลานธรรม หลังจากที่คนทั้งสองมาถึงแล้ว ได้มองไปรอบๆ ดูเหมือนจะไม่คุ้นเคย
สองคนนี้เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ฝ่ายชายนั้นรูปร่าสูงใหญ่ ทรงพลังอำนาจและกล้าหาญ สะพายดาบศักดิ์สิทธิ์เล่มหนึ่งอยู่ด้านหลัง ฝ่ายผู้หญิงรูปร่างกระจุ๋มกระจิ๋ม งดงามจนหาสิ่งใดเปรียบเปรยไม่ได้ สะพายกระบี่เล่มหนึ่ง
หนึ่งชายหนึ่งหญิงนี้ได้เก็บงำพลังลมปราณเอาไว้ และสำรวมกลิ่นอายทั้งหมด ปิดบังซ่อนเร้นความอภินิหารทุกอย่าง ทำให้ผู้พบเห็นไม่สามารถดูรู้ถึงความตื้นลึกหนาบางของพวกเขาทั้งสอง
“ไม่ได้กลับมานานมากแล้ว ไม่รู้ว่ามาผิดทางหรือเปล่า” หลังจากเดินเข้ามายังหุบเขาแล้ว มองดูลานธรรมแล้วชายวัยกลางคนที่รูปร่าสูงใหญ่ ทรงพลังอำนาจและกล้าหาญถึงกับเอ่ยขึ้น
“ท่านพี่ ท่านมองไปที่ไหนกัน ดอกสัจธรรมหลายดอกที่อยู่บนผนังสัจธรรมข้างหน้าท่านคงมองเห็นกระมัง ในสถาบันศึกษาเทพเจ้านอกจากลานธรรมแล้วยังจะมีที่ใดมีดอกสัจธรรมเล่า” ผู้หญิงที่รูปร่างกระจุ๋มกระจิ่มหัวเราะและพูดขึ้นมา
“ที่พูดมาก็ถูก เช่นนั้นแล้วพวกเราไม่ได้มาผิดที่แล้ว” ชายวัยกลางคนที่รูปร่าสูงใหญ่ ทรงพลังอำนาจและกล้าหาญเกาศีรษะและหัวเราะออกมา
บรรดานักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกแปลกใจกับหนึ่งชายหนึ่งหญิงที่ปรากฎขึ้นมาอย่างกะทันหัน เวลานี้นักศึกษาจำนวนไม่น้อยต่างมองตากันและกัน ทุกคนต่างรู้สึกแปลกใจว่าหนึ่งชายหนึ่งหญิงนี้โผล่มาจากไหนกันแน่ จะอย่างไรเสียพวกเขาสองคนดูแล้วไม่เหมือนเป็นอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้า
“พวกเขาดูคุ้นหน้าคุ้นตาเหลือเกิน เหมือนว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” มีนักศึกษารู้สึกสงสัยขณะมองดูหนึ่งชายหนึ่งหญิงคู่นี้ รู้สึกว่าตนเองเหมือนได้เคยพบเห็นพวกเขามาก่อนอย่างนั้น แต่กลับนึกไม่ออก
“นั่นสิ ข้าเองก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเหลือเกิน แต่ก็นึกไม่ออก” มีนักศึกษาที่พูดสนับสนุนขึ้นมา
“รีบเดินเข้าหน่อยอย่ามัวโอ้เอ้ การที่อาจารย์สามารถบรรยายด้วยตัวเองสักครั้ง ช่างเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย” เวลานี้ผู้หญิงที่มีรูปร่างกระจุ๋มกระจิ๋มพูดกับผู้ชายคนนั้น
“ได้ ได้ ยังดีที่มาไม่สาย ไม่อย่างนั้นหละก็ข้าสมควรตบปากตัวเองแล้วหละ” ชายวัยกลางคนยิ้มกล่าว
เวลานี้ชายวัยกลางคนกับผู้หญิงทั้งสองจูงมือกันก้าวเท้าเข้าไปยังลานธรรมอย่างเร็ว ขณะที่พวกเขาทั้งสองก้าวเข้ามายังลานธรรม พวกเหมยซู่เหยาต่างหันไปมอง
“ท่านผู้อาวุโสทั้งสองมาถึง ผู้เยาว์ไม่ได้ไปให้การต้อนรับ ขออภัย ขออภัย” อวี่เชียนเสวียนรีบลุกขึ้นยืนให้การต้อนรับด้วยตนเอง
“นังหนูโตขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องเกรงใจ ล้วนแล้วแต่เป็นครอบครัวเดียวกัน” ผู้หญิงยิ้มกล่าวต่ออวี่เชียนเสวียน
ชายวัยกลางคนก็หัวเราะและกล่าวว่า “ทักษะยุทธของนังหนูเกือบจะแซงหน้าพวกเราแล้วหละ นี่แหละคลื่นลูกหลังไล่คลื่นลูกหน้า”
“ท่านลุงหยางหัวเราะเยาะข้าแล้ว ดาบกระบี่สองประสานของท่าลุงหยาง ปราศจากผู้ต่อกรในหล้า ใครหาญกล้าต่อกร” อวี่เชียนเสวียนหัวเราะดั่งเด็กสาวดูงดงามยิ่งนัก
“ข้า ข้า ข้ารู้แล้วว่าพวกเขาเป็นใคร…” เวลานี้มีนักศึกษาของจวนราชัยผู้หนึ่งถึงกับร้องเสียงดังขึ้นมา แต่นาทีต่อมาเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเสียงตัวเองดังเกินไปแล้ว เป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง
นักศึกษาผู้นี้รีบลดโทนเสียงลง และกล่าวว่า “พวก พวก พวกเขาก็คือเทพผู้พิทักษ์สถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเรา นามว่าเซียนหวังสองประสาน!”
“ถูกต้อง เป็นพวกเขานั่นแหละ ข้าเคยเห็นรูปแกะสลักของพวกเขาที่เมืองตำรา” นักศึกษาอีกผู้หนึ่งก็พูดขึ้นเสียงแผ่วเบา
เวลานี้เอง ทุกคนจึงได้เข้าใจว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงรู้สึกว่าสามีภรรยาคู่นี้คุ้นหน้าคุ้นตากันนัก ที่แท้พวกเขาก็คือเทพผู้พิทักษ์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าเซียนหวังสองประสาน ดาบกระบี่ปราศจากผู้ต่อกรนั่นเอง
ที่เมืองตำรายังคงมีรูปแกะสลักขนาดยักษ์ของพวกเขาตั้งตระหง่านอยู่ นักศึกษาทั้งหมดของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ล้วนแล้วแต่เคยเห็นรูปแกะสลักของพวกเขามาก่อน
เวลานี้ นักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างอ้าปากกว้าง แม้แต่เซียนหวังสองประสานยังปรากฎตัวออกมาฟังการบรรยายด้วยตนเอง มัน มันไม่น่าเชื่อเหลือเกิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...