ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว หลี่ชิเย่ได้ลืมสองตาขึ้นมาช้าๆ ในเวลานี้เอง ใบหน้าของคนผู้หนึ่งได้เข้าไปอยู่ในสายตา เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง
หญิงวัยรุ่นผู้นี้เป็นศิษย์สาวของสำนักกระบี่ยักษ์นั่นเอง นางรั้งอยู่ที่นี่เพื่อคอยปรนนิบัติหลี่ชิเย่ กล่าวสำหรับศิษย์สาวผู้นี้แล้ว หลายเดือนที่ผ่านมานางต้องอู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนตลอดมา แรกทีเดียวนางยังเข้าใจว่าหลี่ชิเย่เป็นคนตาย ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งนักกับการที่จะต้องเฝ้าคนตายที่ผนึกร่างอยู่ในน้ำแข็งคนหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้ศิษย์สาวผู้นี้กังวลก็คือ เกิดคนตายที่ผนึกในน้ำแข็งโผล่กระโดดออกมากะทันหัน แล้วดูดเลือดของนางจนหมดจะทำอย่างไร?
โชคดีที่ไม่ใช่คนตาย แต่เป็นคนเป็นๆ เป็นบรรพบุรุษของลานกำแหงพวกเขาฟื้นคืนชีพกลับมา จึงทำให้ศิษย์สาวผู้นี้หายใจโล่งอกไปเปราะหนึ่ง
แต่ว่าศิษย์สาวผู้นี้ยังไม่ได้ผ่อนคลาย ขณะที่ภาระการดูแลความเป็นอยู่ของบรรพบุรุษที่หนักอึ้งก็ตกลงบนบ่าของนางอีกครั้ง กล่าวสำหรับศิษย์ที่ไร้ชื่อเสียงอย่างนางแล้ว การรับผิดชอบดูแลความเป็นอยู่อาหารการกินของบรรพบุรุษเป็นเรื่องที่ใหญ่เท่าฟ้า เกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมาล่ะก็ เกรงว่านางคงแบกรับไม่ไหว
ดังนั้น หลายวันที่ผ่านมา ศิษย์สาวผู้นี้อยู่อย่างตัวสั่นงันงก ไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย โชคดีตรงที่หลายวันมานี้หลี่ชิเย่เอาแต่นั่งขัดสมาธิไม่ไหวติง ไม่ดื่มกิน เสมือนดั่งกลายเป็นหินไปแล้วอย่างนั้น
ศิษย์สาวคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ รู้สึกเหนื่อยและเพลีย จึงนั่งลงและพิงผนังห้องงีบหลับอยู่ตรงนั้น
เมื่อหลี่ชิเย่ตื่นขึ้นมาแล้ว ศิษย์สาวรู้สึกร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่งและลุกขึ้นยืนทันที และไปยืนอยู่ด้านข้างเพื่อคอยปรนนิบัติรับใช้ด้วยท่าทีให้ความเคารพยิ่งนัก
“ท่าน ท่านบรรพบุรุษ มี มีอะไรจะสั่งการ?” ศิษย์สาวผู้นี้กระทั่งพูดจาไม่ลื่นไหล ซึ่งใช่เป็นเพราะนางในเสาะ แต่ว่านางเองก็ไม่เคยได้พานพบอุปสรรคใดๆ มาก่อน นางเป็นเพียงบุคคลตัวน้อยๆ เท่านั้นเอง ระดับผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่นางเคยพบเห็นมาก็คือจูฉี เจ้าสำนักกระบี่ยักษ์นั่น ส่วนผู้ยิ่งใหญ่อื่นๆ นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน
เวลานี้ให้นางคอยดูแลปรนนิบัติบรรพบุรุษของลานกำแหง สิ่งนี้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบยิ่งใหญ่เพียงใด เสมือนดั่งเป็นสัมภาระหนักหนึ่งแสนห้าหมื่นตันที่กองบนบ่าของนางอย่างนั้น สมควรทราบว่า กล่าวสำหรับนางแล้วลานกำแหงนั้นอยู่ในฐานะที่สูงส่งยิ่งนักสุดจะเอื้อมถึง แม้แต่ศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งของลานกำแหงก็ทำให้จูฉีในฐานะเจ้าสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขาต้องก้มโค้งแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรพบุรุษของลานกำแหงแล้ว มันถึงขั้นที่พวกเขาต้องคุกเข่าก้มกราบกับพื้นเลยทีเดียว
สำหรับท่าทางที่ตัวสั่นงันงกของศิษย์สาวนั้น หลี่ชิเย่สงบนิ่งไม่หวั่นไหวแค่บิดขี้เกียจไปทีหนึ่ง และเริ่มพิจารณามองดูศิษย์สาวที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้
ศิษย์สาวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้นับว่ามีรูปโฉมที่งดงาม ใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลาละเอียดนุ่มนวล นัยน์ตาคู่นั้นดูสดใสดั่งกระจกเงา ลูกตาที่สุกใสแวววาว มีช่วงขาที่เรียวยาว รูปร่างที่สูงโปร่ง เรียกได้ว่างดงามน่าสนใจ รูปโฉมงดงามน่าประทับใจ
แน่นอน รูปโฉมลักษณะเช่นนี้ย่อมไม่สามารถเทียบเคียงกับระดับหญิงงามอย่างเหมยซู่เหยาได้ แต่ทว่ารูปโฉมเช่นนี้เมื่อมาอยู่ท่ามกลางพื้นที่ที่ห่างไกลความเจริญแล้ว นับว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่งได้
เป็นความจริงที่ผู้หญิงตรงหน้าไม่สามารถเทียบได้กับบรรดาผู้หญิงทั้งหลาย เฉกเช่นระดับหลี่ซวงเหยียนก็ไม่สามารถเทียบกันได้แล้ว แต่ว่าสีหน้าท่าทางที่งดงามของผู้หญิงคนนี้เสมือนดั่งหยกที่ยังไม่ได้ผ่านการเจียระไนชิ้นหนึ่ง คู่ควรที่จะนำไปเจียระไน
หลี่ชิเย่ไม่ได้ให้ความสนใจในรูปโฉมของนาง สายตาของเขาตกอยู่บริเวณลำคอของนาง ลำคอของนางแลดูขาวและอ่อนนุ่มชวนพิศอย่างยิ่ง แต่ หลี่ชิเย่ยังคงไม่ได้ให้ความสนใจความงามเช่นนี้ แต่สายตาตกไปอยู่ที่ร่องรอยสีทองจางๆ สายหนึ่งที่อยู่บนลำคอของนาง
ร่องรอยสีทองสายนี้มีเส้นทางที่ถักทอกันเป็นลวดลายยาวไปถึงหน้าอก เพียงแต่บริเวณหน้าอกถูกปิดบังด้วยเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ ไม่รู้ว่ามีรูปลักษณ์เช่นใด
ด้วยร่องรอยที่เป็นสีทองสายนี้ซึ่งเกิดขึ้นบริเวณลำคอของนางนั้น ดูไปแล้วเหมือนสวมใส่สร้อยคอเส้นหนึ่งเอาไว้อย่างนั้น
ศิษย์สาวผู้นี้ก็รู้สึกตัวได้ว่าถูกหลี่ชิเย่จับจ้องบริเวณลำคอของตน นางจึงแอบดึงปกเสื้อนิดหนึ่ง ตั้งใจให้ปิดบังร่องรอยสีทองสายนั้นที่อยู่บริเวณลำคอของตน ไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้เห็นมากนัก
“เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่จึงได้เอ่ยถามขึ้นมาช้าๆ ท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เรียนท่านบรรพบุรุษ ศิษย์มีชื่อว่าจูซือจิ้ง” ศิษย์สาวก้มหน้าลงต่ำ เอ่ยขึ้นช้าๆ แม้ว่าขณะนี้นางได้สะกดจิตใจให้สงบลงได้แล้ว การพูดจาก็ดูลื่นไหล แต่ว่าภายในใจยังคงมีความระมัดระวังอยู่มากทีเดียว
“เผ่าสาปแช่ง” หลี่ชิเย่จ้องมองดูศิษย์สาวผู้นี้ กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “ชนเผ่าที่พบเห็นได้ยากเผ่าหนึ่ง”
เวลานี้ หลี่ชิเย่ได้ความทรงจำกลับคืนมามากมาย ดังนั้นเขาจึงมีความรู้มหาศาล ยิ่งไปกว่านั้น ความทรงจำที่เขามีอยู่ใช่เพียงมาจากผู้เฒ่ากำแหงเท่านั้น
เมื่อหลี่ชิเย่พูดออกมาเช่นนี้ จูซือจิ้งได้แต่ก้มหน้าลงต่ำมากกว่าเดิม กระทั่งไม่กล้ามองหน้าของหลี่ชิเย่ รู้สึกกังวลอย่างยิ่ง นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี
สำหรับเผ่าสาปแช่งนั้น อย่าว่าแต่ในลานกำแหงหรือแดนลัทธิพรรษ แม้แต่ทั่วทั้งแดนสามเซียน ชนเผ่าสาปแช่งก็เป็นเผ่าที่พบเห็นได้ยากมาก อีกทั้ง ชนเผ่าสาปแช่งถูกผู้คนมองว่าอัปมงคล ผู้คนจำนวนมากต่างปฏิเสธต่อชนเผ่านี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรับเอาคนของเผ่าสาปแช่งมาเป็นศิษย์
“ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า สามารถพบเห็นเผ่าสาปแช่งได้ที่นี่” หลี่ชิเย่หัวเราะ จากความทรงจำมหาศาลนั้น เขาล่วงรู้ประวัติเกี่ยวกับเผ่าสาปแช่งเป็นจำนวนมาก
ภายในใจของจูซือจิ้งถึงกับเต้นกระตุกทีหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้จากหลี่ชิเย่ ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคดีหรือโชคร้าย นางได้แต่พูดเสียงแผ่วเบาว่า “การที่สำนักกระบี่ยักษ์ยอมรับข้าเป็นศิษย์ นับว่าเป็นบุญคุณสำหรับข้า ข้าจะตอบแทนบุญคุณยิ่งใหญ่ของสำนักกระบี่ยักษ์ทุกชาติไป…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...