ผู้คนจำนวนมากถึงกับกลืนน้ำลายลงคอเอื้อก ขณะจ้องมองดูสร้อยคอและเสื้อที่มีประกายงดงามนั่น นี่มันของวิเศษล้ำค่าที่ประเมินราคาไม่ได้เลย ไม่ว่าใครก็ต้องการได้ครอบครองมันอย่างยิ่ง
ในเวลานี้ ทุกคนต่างมองไปที่หลี่ชิเย่ ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการทราบว่าหลี่ชิเย่จะต้องทำอย่างไรจึงสามารถทำให้ผู้เฒ่าคล้อยตาม ทำอย่างไรจึงจะชนะและได้ของวิเศษนี้มาอยู่ในมือ
เวลานี้ผู้เฒ่าก็มองดูหลี่ชิเย่เงียบๆ เขาเฝ้ารอคอยคำพูดของหลี่ชิเย่
ในเวลานี้ บรรยากาศโดยรวมเหมือนจับกันแข็งตัวไปแล้วอย่างนั้น ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยอยู่ว่า หลี่ชิเย่จะงัดเอาคำพูดแบบไหนออกมา ควรจะต้องทำอย่างไรจึงสามารถทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกซาบซึ้งคล้อยตาม นี่มันคือของวิเศษล้ำค่าสองชิ้นที่ประเมินราคาไม่ได้นะเนี่ย
ท่าทีของหลี่ชิเย่ตามอารมณ์ยิ่งนัก เพียงยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “เมื่อข้าสร้างยุคสมัยขึ้นมาใหม่ ก่อผลสัจธรรมสูงสุด บงการสรรพสิ่ง เมื่อมีข้าอยู่ทุกอย่างเป็นเพียงสิ่งที่ไร้แก่นสารเท่านั้นเอง”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา คนอื่นอาจไม่รู้สึกอะไร กระทั่งมีผู้ที่รู้สึกว่าเป็นคำพูดที่คุยโม้โอ้อวดเท่านั้นเอง แต่ว่าสายตาของผู้เฒ่าเต้นกระตุกทีหนึ่ง ทันใดนั้นแววตาของเขาเสมือนหนึ่งเป็นแสงสว่างที่เป็นนิรันดร์อย่างนั้น แต่ว่ามันแวบผ่านไปครั้งเดียวเท่านั้น คนอื่นล้วนแล้วแต่ไม่ทันได้เห็น
“ดี พูดได้ดี! พูดได้ดี!” หลังจากที่ผู้เฒ่าได้ฟังคำพูดของหลี่ชิเย่แล้วถึงกับกล่าวชื่นชมและส่งเสียงเชียร์ขึ้นมา
การที่ผู้เฒ่ากล่าวชื่นชมหลี่ชิเย่เช่นนี้ พลันทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่งุนงงไปตามๆ กัน ผู้คนจำนวนมากเมื่อได้ฟังคำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้ว ล้วนแล้วแต่รู้สึกว่ามันเป็นเพียงคำพูดที่คุยโวของหลี่ชิเย่เท่านั้นเอง คำพูดแบบนี้ใครบ้างที่พูดไม่เป็น? ปัญหาอยู่ที่ว่า คำพูดที่คุยโวเช่นนี้กลับได้รับการชื่นชมจากผู้เฒ่าถึงเพียงนี้
“ผู้คนบนโลกนี้ล้วนแล้วแต่เสียสติไปแล้วรึ? อย่างนี้ก็ได้ด้วย?” เวลานี้ทุกคนต่างอ้าปากค้าง เมื่อเห็นว่าคำพูดที่คุยโวเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ได้รับคำชื่นชมจากผู้เฒ่า นี่มันบ้าบิ่นเกินไปแล้ว
แค่คำพูดเพียงคำเดียวก็สามารถแลกได้กับของวิเศษถึงสองชิ้น นั่นมันเท่ากับคำพูดคำเดียวมีค่ายิ่งกว่าทองพันชั่งเสียอีก!
“นี่บ้ากันไปแล้วรึ?” ผู้คนจำนวนมากไม่อาจเชื่อเรื่องเช่นนี้ได้ ก่อนหน้ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่พูดถึงตัวเองได้น่าเวทนาอย่างยิ่ง ผู้คนจำนวนเท่าไรที่กล่าวอธิฐานให้กับผู้เฒ่า แต่ผู้เฒ่าไม่ได้ให้ความสนใจแม้แต่น้อย เวลานี้หลี่ชิเย่ แค่พูดคำพูดที่โอ้อวดคำเดียวก็สามารถได้รับการยอมรับจากผู้เฒ่า ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเข้าใจเรื่องเช่นนี้ได้
“สิ่งที่ข้าพูดดีเช่นนี้เสมอ” หลี่ชิเย่หัวเราะกล่าว จากนั้นนำเอาสร้อยคอและเสื้อที่มีประกายงดงามมา ถือโอกาสยัดใส่มือของจูซือจิ้งที่อยู่ข้างกาย ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “นังหนู เก็บรักษาสองสิ่งนี้ให้ดี มันจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเจ้าโดยสิ้นเชิง ไม่มีสิ่งใดเหมาะสมยิ่งกว่ามันสำหรับเผ่าสาปแช่งของเจ้าอีกแล้ว”
จูซือจิ้งรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้าให้อย่างนั้นเมื่อสร้อยคอและเสื้อที่มีประกายงดงามถูกยัดใส่มือของตน นางถึงกับยืนเซ่อไม่สามารถเรียกสติกลับมา
อย่าว่าแต่ของวิเศษที่เหมือนดั่งเป็นของล้ำค่าเซียนเช่นนี้ ต่อเป็นของวิเศษล้ำค่าธรรมดานางก็ไม่กล้าคิด การที่นางมีชาติกำเนิดเป็นเผ่าสาปแช่ง เป็นเพียงศิษย์ที่ธรรมดาคนหนึ่งของสำนักกระบี่ยักษ์เท่านั้น เรียกได้ว่ามีฐานะที่ต้อยต่ำอย่างยิ่ง การที่มีผู้ยอมรับนางให้อยู่ด้วยก็นับเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องของของวิเศษเซียนอะไรประเภทนั้น สิ่งของเช่นนี้นางไม่กล้าคิดแม้อยู่ในความฝัน
แต่ทว่า เวลานี้ของที่นางไม่กล้าคิดแม้อยู่ในความฝันอยู่ในมือของนางเอง หลี่ชิเย่มอบให้นางด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ช่างเป็นเรื่องที่เป็นจริงอะไรอย่างนั้น มันเป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอน
ขณะที่กำของวิเศษสองสิ่งในมือ จูซือจิ้งรู้ว่านี่มันหาใช่ความฝัน จะอย่างไรเสียเรื่องที่นางไม่กล้าคิดกระทั่งอยู่ในความฝัน แล้วมันจะเป็นความฝันได้อย่างไรกัน
“คุณชาย” ในขณะนี้ จูซือจิ้งสะอื้นจนไม่เป็นคำพูดแล้ว นัยน์ตาคู่นั้นของนางเปียกชุ่ม ภายในใจตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก รู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่าง ในโลกนี้คงมีเพียงหลี่ชิเย่เท่านั้นที่พึ่งพิงได้สำหรับนาง และมีเพียงหลี่ชิเย่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะมอบสิ่งของเซียนที่ประเมินค่าไม่ได้ให้กับนาง
ในเวลานี้ จูซือจิ้งสะอื้นจนไม่เป็นคำพูด หลายครั้งที่นางอยากจะพูดอะไรแต่ก็พูดออกมาไม่ได้ ภายในใจมีพันคำหมื่นวจี มีความรู้สึกสำนึกในบุญคุณเป็นหมื่นพัน แต่มันติดอยู่ในลำคอ ไม่สามารถกลั่นออกมาเป็นคำพูดอยู่นาน
ภาพนี้สร้างความหวั่นไหวให้กับทุกๆ คน สิ่งของเซียนทั้งสองชิ้นนี้ไม่รู้ว่าล้ำค่ามากยิ่งกว่าของวิเศษที่มอบให้กับหยางเซิ่นผิงอยู่เท่าไร ทั้งสองสิ่งนี้กล่าวได้ว่าผู้คนจำนวนมากพบเห็นได้แต่ไม่ได้ครอบครอง ชั่วชีวิตก็ไม่สามารถได้มาแม้เพียงชิ้นเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสองชิ้นอีกเลย
แต่ทว่า เวลานี้หลี่ชิเย่กลับมอบให้กับสาวใช้ที่อยู่ข้างกายของตนด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันออกจะคุยโม้เกินไปแล้ว นี่มันบ้าบิ่นมากเกินไปเสียแล้ว
“โลกนี้มันบ้าไปแล้วอย่างนั้นรึ?” มีผู้ที่ถึงกับตั้งข้อสงสัยกับชีวิตของตนเอง แค่คำพูดหนึ่งที่คุยโวโอ้อวดก็สามารถแลกมาซึ่งของวิเศษระดับเซียนมาได้ถึงสองชิ้น เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ต้องสงสัยในชีวิตของตนเองแล้ว สงสัยว่าโลกนี้มีคนเสียสติอยู่หรือไม่
แต่ว่า เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ถือโอกาสนำเอาของวิเศษระดับเซียนที่ได้มามอบให้กับสาวใช้ที่อยู่ข้างกายนั้น มันทำให้ทุกคนถึงกับแทบคลั่ง ในโลกนี้ยังจะมีสิ่งใดที่บ้าบิ่นมากไปกว่านี้อีก
มีผู้คนจำนวนเท่าไรในโลกนี้ที่หรูหราฟุ่มเฟือยอย่างยิ่ง แต่ว่า พูดถึงการนำเอาสุดยอดของล้ำค่าระดับเซียนมอบให้กับสาวใช้ข้างตัวของตนนั้น เกรงว่าคงไม่มีใครสามารถทำได้ แต่ หลี่ชิเย่กลับทำได้แล้ว
“นายท่าน ท่านต้องการคนรับใช้หรือไม่?” ในเวลานี้มีผู้ที่ถึงกับประจบสอพรอหลี่ชิเย่ “ยามกลางคืนข้าน้อยสามารถอุ่นเตียงให้ ยามกลางวันข้าน้อยสามารถช่วยพยุงก้นให้ สุดแล้วแต่นายท่านจะอย่างไรก็ได้”
“นายท่าน ต้องการสารถีหรือไม่?” มีผู้ที่พูดเอาอกเอาใจว่า “ฝีมือการบังคับม้าของข้าน้อยสุดยอดมาก…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...