หลายวันต่อมา หลี่ชิเย่ไม่เคยก้าวออกจากห้องเลย เขาต้องการย่อยความทรงจำที่อมตะตระกูลเซียวแห่งถ้ำเซียนมารทิ้งไว้ให้ ซึ่งในความทรงจำของเขาได้เกี่ยวพันถึงความลับไม่น้อยเลยทีเดียว แน่นอน ความลับเหล่านี้บุคคลภายนอกยากจะเข้าใจได้ มีเพียงผู้ดำรงอยู่ในสถานะเช่นหลี่ชิเย่จึงสามารถเข้าใจถึงความลึกซึ้งพิสดารที่ซ่อนอยู่ด้านหลังได้อย่างแท้จริง
จะอย่างไรเสีย สิ่งนี้ไม่เพียงเพราะหลี่ชิเย่ได้ผ่านประสบการณ์มานับไม่ถ้วน ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในโลกนี้ยังจะมีใครที่สามารถเข้าใจในตัวของหลี่ชิเย่มากไปกว่าหลี่ชิเย่กันเล่า?
หลี่ชิเย่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างเตียง เข้าฌานโดยอยู่ในลักษณะที่จิตมองไม่เห็นสิ่งใดเลย ร่างกายของเขาเสมือนหนึ่งเป็นรูปแกะสลักอย่างนั้น ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เหมือนว่านาทีนี้เขาได้ก้าวข้ามยุคดึกดำบรรพ์แล้วอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว พลันหลี่ชิเย่ได้ลืมตาทั้งสองขึ้นมาทันที เหมือนว่าเขาถูกอะไรบางอย่างรบกวนจนตกใจตื่น ลุกขึ้นยืนทันทีแล้วเดินออกประตูไป
“คุณชาย…” จูซือจิ้งรู้สึกดีใจเมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ที่ก้าวออกมาอย่างกะทันหัน จึงร้องทักทันที
หลายวันที่ผ่านมาหลี่ชิเย่ไม่เคยก้าวออกจากห้องเลย ทำให้จูซือจิ้งกังวลว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่ เวลานี้ได้เห็นหลี่ชิเย่ปลอดภัย นางจึงค่อยวางใจลง
หลี่ชิเย่ไม่ได้กล่าวมากความ สั่งการกับหยางเซิ่นผิงโดยตรงว่า “เตรียมรถ ออกนอกวัง!”
หยางเซิ่นผิงไม่พูดพล่ามทำเพลงไปตระเตรียมรถม้าทันที หยางเซิ่นผิงก็ไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่จะไปทำอะไร แต่ว่า เขาไม่กล้าถามให้มากความ ตระเตรียมรถม้าพร้อมใช้ภายในระยะเวลาสั้นที่สุด และเขาเป็นสารถีให้กับหลี่ชิเย่ด้วยตนเอง
หลี่ชิเย่เป็นคนพูดน้อย ปล่อยให้หยางเซิ่นผิงบังคับรถม้าวิ่งออกไปจากวัง และวิ่งฮ้อไปตลอดทางตามทางที่หลี่ชิเย่ได้บอกเอาไว้ สุดท้ายได้ไปหยุดอยู่ ณ ภูเขาลูกหนึ่งทางด้านตะวันตกของลานหลวง
มันเป็นภูเขาที่เขียวชอุ่มลูกหนึ่ง มีต้นไม้โบราณจำนวนไม่น้อยขึ้นงอกงามอยู่บนภูเขาลูกนี้ แต่ว่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุอันใด ต้นไม้ที่ขึ้นงอกงามอยู่บนภูเขาลูกนี้ล้วนแล้วแต่มีใบไม้ที่แตกต่างจากที่อื่นๆ บริเวณส่วนปลายของใบไม้ล้วนแล้วแต่มีสีแดงอ่อนๆ เมื่อเป็นดังนี้ ทำให้ภูเขาทั้งลูกเสมือนดั่งถูกคลุมไว้ด้วยแสงสีแดงที่งดงามอย่างนั้น
โดยเฉพาะยามที่มีลมพัดมาแผ่วเบา ใบไม้ทั่วทั้งภูเขาก็จะโอนเอนไปทั่ว มองจากระยะห่างไกลแล้วเหมือนคลื่นโลหิตเป็นลูกๆ ขึ้นลงสลับเป็นชั้นๆ
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้ก้าวลงมาจากรถม้าแล้ว จ้องมองไปที่ภูเขาลูกนั้นที่อยู่ตรงหน้า เหมือนว่าสามารถมองทะลุผ่านภูเขาลูกนี้ไปได้อย่างนั้น
หลังจากที่มาถึงแล้ว หยางเซิ่นผิงก็รู้สึกเหนือความคาดคิดไม่น้อยขณะมองดูภูเขาลูกนี้ และรุ้สึกตกใจอยู่บ้าง พึมพำออกมาว่า “ถึงกับเป็นที่นี่นั่นเอง”
จูซือจิ้งที่ติดตามมาด้วยมองดูภูเขาลูกนี้แล้ว นางมีความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูก พูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมาว่า “ภู ภูเขาลูกนี้แปลกประหลาดมาก เหมือนมีคนกำลังคำรามด้วยความโกรธอย่างนั้น”
“เสียงคนคำรามด้วยความโกรธมาจากไหนกัน” หยางเซิ่นผิงหัวเราะและส่ายหน้า และกล่าวว่า “เจ้าคงไปได้ยินเสียงของใบไม้น่ะสิ ใบไม้ของภูเขาลูกนี้ไม่ค่อยจะเหมือนที่อื่น ยามที่มันโอนเอนไปตามลมนั้น มองดูเหมือนเป็นคลื่นโลหิต ดังนั้น ที่เจ้าได้ยินนั้นอาจเป็นเสียงใบไม้ แล้วเกิดความรู้สึกหลอนคิดว่าเป็นเสียงคำรามด้วยความโกรธ”
“ก็เป็นไปได้” เมื่อจูซือจิ้งได้ฟังคำจากหยางเซิ่นผิงแล้วเอียงคอครุ่นคิดนิดหนึ่งและเอ่ยขึ้น
“ไม่” ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ที่กำลังยืนอยู่ข้างหน้าและจ้องมองไปยังภูเขาลูกนั้น ได้กล่าวเฉยเมยขึ้นมาว่า “เป็นนางได้ยินเสียงที่เจ้าไม่สามารถได้ยินได้ สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าซือจิ้งแข็งแกร่งกว่าเจ้า แต่เป็นเพราะชาติกำเนิดของนางเป็นเผ่าสาปแช่ง นางจึงมีพรสวรรค์ที่พวกเจ้าไม่มี มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ที่ทำให้เผ่าสาปแช่งถูกมองว่าอัปมงคล ความจริงแล้วสิ่งที่นางพูดมานั้นเป็นความจริง!”
“มีเสียงคำรามด้วยความโกรธจริงรึ?” หยางเซิ่นผิงถึงกับตื่นตระหนกยิ่งนักเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ เขาไม่เพียงแต่ตกใจกับเสียงคำรามด้วยความโกรธ ขณะเดียวกันก็ตกใจกับการมีพรสวรรค์เช่นนี้ของเผ่าสาปแช่ง
สิ่งที่หยางเซิ่นผิงรับรู้มาเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเผ่าสาปแช่งถูกคนเขามองว่าอัปมงคล เนื่องจากมีการเล่าลือกันว่า ที่ใดก็ตามหากเผ่าสาปแช่งปรากฏก็จะนำพาเรื่องไม่ดีมาด้วย ดังนั้น จึงทำให้ถูกผู้คนมองว่าเป็นอัปมงคล เวลานี้เมื่อได้ฟังคำจากหลี่ชิเย่แล้ว ดูเหมือนจะเป็นคนละเรื่องกัน
จูซือจิ้งเองก็ตกตะลึงนิดหนึ่ง นางเองก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองถึงกับมีพรสวรรค์เช่นนี้ จะอย่างไรเสียคนของเผ่าสาปแช่งมีอยู่น้อยมาก อีกทั้งอาศัยอยู่กระจัดกระจายไปยังทุกๆ ที่ในแดนสามเซียน ในอดีตนางยังเข้าใจว่านี่เป็นเพียงความรู้สึกหลอนของตนเองเท่านั้น ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าหลี่ชิเย่ถึงกับบอกว่าสิ่งนี้เป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่ง
จังหวะที่จูซือจิ้งกับหยางเซิ่นผิงกับลังตื่นตะลึงอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้ไต่เขาขึ้นไปทีละก้าวๆ มุ่งหน้ายอดเขา จูซือจิ้งและหยางเซิ่นผิงติดตามอยู่ด้านหลัง
ขณะขึ้นไปถึงกลางเขา หลี่ชิเย่ได้หยุดลงที่ด้านหน้าของศิลาจารึกที่มีขนาดใหญ่มาก โดยที่บนศิลาจารึกไม่ได้มีตัวอักษรใดๆ อีกทั้งศิลาจารึกนี้ถูกตั้งมานานมาแล้ว
หลี่ชิเย่จ้องมองศิลาจารึกที่อยู่ตรงหน้า คล้ายดั่งสายตาคู่นั้นของเขาสามารถมองทะลุผ่านทุกสิ่งได้อย่างนั้น
“อยู่ใต้พื้นแห่งนี้แหละ เสียงคำรามด้วยความโกรธเหมือนส่งออกมาจากใต้พื้นดินตรงนี้อย่างนั้น” จูซือจิ้งเอ่ยขึ้นเบาๆ ขณะที่หลี่ชิเย่กำลังมองดูอยู่บริเวณนี้
“พื้น พื้นที่บริเวณนี้เป็นจริงตามที่เล่าลืออย่างนั้น” คำพูดของจูซือจิ้งทำให้หนังตาของหยางเซิ่นผิงถึงกับเต้นกระตุกนิดหนึ่ง รู้สึกขนลุกซู่ในใจขึ้นมาบ้าง และกล่าวว่า “คำเล่าลือเป็นเรื่องจริง”
“ที่นี่ที่ไหน?” จูซือจิ้งถึงกับเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื่อมองเห็นหยางเซิ่นผิงถูกทำให้ตระหนกตกใจถึงขนาดนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...