ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 2152

สรุปบท ตอนที่ 2152 มารคลั่งดูดเลือด: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ตอน ตอนที่ 2152 มารคลั่งดูดเลือด จาก ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 2152 มารคลั่งดูดเลือด คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายAction ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ในครั้งนั้น หลังจากที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้สังหารเทพแท้จริงเทียนเต๋อแล้ว ก็ได้สังหารศิษย์ที่ฝึก ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ไปจำนวนไม่น้อย เพื่อเป็นการกำจัดศิษย์ทรยศของสำนัก จะอย่างไรเสียในเวลานี้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจำเป็นต้องเอาตัวรอด มิฉะนั้นล่ะก็ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต้องถูกทำลายทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น

ภายใต้การร่วมมือร่วมใจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทุกระดับ ในที่สุดก็สามารถรักษาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิโดยรวมได้ สลายวิกฤตในครั้งนี้ลงได้ นับแต่นั้นเป็นต้นมา เคล็ดวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ แขนงนี้ถูกเผาทำลายทิ้ง ขณะเดียวกัน ทางระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้มีคำสั่งเด็ดขาด ห้ามศิษย์ใดๆ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงฝึกเคล็ดวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ อย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นแล้วจะถูกลงโทษสถานหนัก จากนั้นเป็นต้นมา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ กลายเป็นเคล็ดวิชาต้องห้ามของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไป ไม่มีศิษย์คนใดกล้าเอ่ยถึงเคล็ดวิชานี้อีก ยิ่งไม่กล้าไปฝึกเคล็ดวิชาแขนงนี้

เนื่องด้วยเหตุการณ์ความวุ่นวายนี้เอง ทำให้ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงตกอยู่ในอันตราย ภายใต้การร่วมมือของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมาก ทำให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเกือบถูกทำลาย เนื่องจากในครั้งนั้น บรรดาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมากได้บุกโจมตีจนถึงด้านนอกของลานหลวงแล้ว

ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้ทุ่มเทกำลังกายใจไปมากมาย ท้ายที่สุดจึงสามารถคลี่คลายวิกฤตในครั้งนั้นได้ จากนั้นเป็นต้นมา ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้ทำการปิดประตูเข้าออกของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทั้งหมด ซึ่งไม่เพียงเป็นการไม่อนุญาตให้ศิษย์คนหนึ่งคนใดภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิออกไปจากพื้นที่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเท่านั้น ขณะเดียวกันยังเป็นการตัดขาดการไปมาหาสู่ระหว่างระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งหมดที่อยู่ในแดนลัทธิพรรษ

การที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทำเช่นนี้ ข้อแรก เป็นการป้องกันยังมีศิษย์ที่ฝึก‘มารคลั่งดูดเลือด’ มาแอบลักลอบหนีออกไปก่อกรรมทำเข็ญข้างนอก ทำร้ายผู้บำเพ็ญตนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่น หรือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา เพราะหากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอีก จะกระทบกระเทือนต่อชื่อเสียงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอย่างยิ่งทีเดียว!

ข้อสอง สืบเนื่องจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ ในแดนลัทธิพรรษได้ผ่านเหตุการณ์ความวุ่นวายในครั้งนี้แล้ว มีความไม่พอใจอย่างยิ่งต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้ว กระทั่งมีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ จำนวนไม่น้อยคิดจะนำระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมาแบ่งสันปันส่วนกัน ดังนั้น ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจึงถือโอกาสในครั้งนี้ทำการปิดกั้นประตูเข้าออกทั้งหมด ตัดขาดจากการไปมาหาสู่ระหว่างระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิในแดนลัทธิพรรษทั้งหมด ซึ่งถือเป็นระบบป้องกันอย่างหนึ่ง ป้องกันไม่ให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ ในแดนลัทธิพรรษบุกโจมตีเข้ามายังระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้!

ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเองยังได้ถือโอกาสที่มีการปิดสำนักในครั้งนี้ ให้ลูกหลานได้พักและฟื้นฟูกำลังขึ้นมาใหม่ รอการกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงในวันข้างหน้า

สำหรับเรื่องราวที่ผ่านมาช่วงนั้นของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวกับเทพแท้จริงเทียนเต๋อ ผู้คนจำนวนมากในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต่างไม่ต้องการที่จะเอ่ยถึง ดังนั้น มาวันนี้เมื่อมีการเอ่ยถึงเรื่องราวในช่วงนั้น หยางเซิ่นผิงถึงกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ รู้สึกกลัดกลุ้มในใจอยู่บ้าง

“เทพแท้จริงเทียนเต๋อถูกประหารที่นี่รึ?” หลังจากที่จูซือจิ้งได้ฟังคำจากหยางเซิ่นผิงแล้ว จึงเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ

“ถูกต้อง” หยางเซิ่นผิงกล่าว และในเวลานี้เองเขาจึงได้นึกถึงเรื่องๆ หนึ่ง และกล่าวว่า “ตามตำนานเล่าว่า ครั้งนั้นเทพแท้จริงเทียนเต๋อถูกบรรพบุรุษจ้านเทียนประหารที่นี่ ขณะที่มีการประหารเขารู้สึกไม่เต็มใจอย่างยิ่ง ร้องคำรามเสียงดังด้วยความโกรธไม่หยุด และเคยประกาศว่า สักวันหนึ่งเขาจะกลับมาอีกครั้ง”

เมื่อเขาได้กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ถึงกับจ้องมองจูซือจิ้งอีกครั้งหนึ่ง แรกทีเดียวขณะที่จูซือจิ้งบอกว่าได้ยินเสียงคนร้องคำรามด้วยความโกรธเขายังไม่อยากจะเชื่อ เข้าใจว่าจูซือจิ้งนั้นฟังผิดไป

เวลานี้เมื่อมานึกๆ ดูอย่างละเอียดแล้ว หรือบางทีอาจเป็นไปได้ว่ามันก็คือเสียงคำรามด้วยความโกรธของเทพแท้จริงเทียนเต๋อที่ไม่เต็มใจก่อนตาย เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว หยางเซิ่นผิงถึงกับรู้สึกประทับใจยิ่ง เนื่องจากในอดีตเขาไม่เข้าใจว่าเผ่าสาปแช่งกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ มีข้อแตกต่างกันตรงไหน เวลานี้ดูไปแล้ว เป็นความจริงที่เผ่าสาปแช่งมีพรสวรรค์ที่เผ่าพันธุ์อื่นๆ ไม่มี มิน่าเล่า หลี่ชิเย่จึงได้ให้จูซือจิ้งมารั้งอยู่ข้างกายของเขา

เวลานี้ดูไปแล้วหลี่ชิเย่ในฐานะที่เป็นบรรพบุรุษ มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลอย่างที่ชนรุ่นหลังอย่างพวกเขาไม่มีอย่างแท้จริง เรื่องมากมายหาใช่พวกเขาที่เป็นชนรุ่นหลังสามารถเอื้อมถึงอยู่แล้ว

หยางเซิ่นผิงถึงกับโล่งอกเมื่อนึกมาถึงตรงนี้ การติดตามหลี่ชิเย่เป็นการเลือกที่ชาญฉลาดที่สุดของสำนักกระบี่ยักษ์พวกเขาอย่างแท้จริง

“ที่ตรงนี้เคยมีคนแตะต้องมาก่อน” ขณะที่ภายในใจของหยางเซิ่นผิงกำลังคิดอะไรต่อมิอะไรอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้กล่าวเฉยเมยขึ้นมา

“เคยมีคนแตะต้อง แตะต้องอย่างไรรึ?” ภายในใจของหยางเซิ่นผิงถึงกับตื่นตระหนก เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ เอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้นมาว่า “นี่ นี่เป็นไปไม่ได้กระมัง สถานที่แห่งนี้ปรกติแล้วมีศิษย์มาที่นี่กันน้อยมาก ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิกระทั่งไม่อนุญาตให้ผู้ใดก็ตามมาเซ่นไหว้ หาไม่แล้วหากพบเจอก็จะเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสมาก”

เป็นความจริงที่เทพแท้จริงเทียนเต๋อในครั้งนั้นได้สร้างผลงานการสู้รบที่โด่งดังให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง สายของพวกเขามีฐานะที่ไม่ธรรมดาและสามารถส่งผลกระทบต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง แม้ว่าภายหลังเทพแท้จริงเทียนเต๋อได้เสียชีวิตไป แต่ชนรุ่นหลังของเขายังคงจดจำบรรพบุรุษที่ปราศจากผู้ต่อกรผู้นี้เอาไว้ในใจ

เหตุนี้เอง ทางระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจึงสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดมาทำการเซ่นไหว้ต่อเทพแท้จริงเทียนเต๋อ เนื่องจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเองก็เกรงว่าเรื่องราวในครั้งนั้นจะซ้ำรอยเกิดขึ้นมาอีกครั้ง เกรงว่าลัทธิมารจะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ส่งผลให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต้องตกลงสู่ลัทธิมารอีกครั้งหนึ่ง

“มีผู้ฝึก ‘มารคลั่งดูดเลือด’ แล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา

“ไม่น่าเป็นไปได้…” หยางเซิ่นผิงถึงกับหวาดผวาขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ สีหน้าซีดเผือด ขาทั้งสองข้างถึงกับอ่อนแรง เนื่องจากครั้งนั้นกระแส ‘มารคลั่งดูดเลือด’ แพร่ไปทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงในครั้งนั้น ยอดฝีมือ และระดับบรรพบุรุษจำนวนเท่าไรที่ก้าวเดินไปบนเส้นทางที่คลั่งไคล้เช่นนี้

ลองนึกภาพดู ยามที่เจ้าฝึกฝนอย่างหนักนานนับสิบปี ความก้าวหน้าด้านพลังวัตรและกำลังความสามารถที่เพิ่มขึ้นกลับเทียบไม่ได้กับการดื่มโลหิตสดๆ จนอิ่มท้องเพียงมื้อเดียว ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญตนใดๆ ก็ตาม หรือยอดฝีมือใดๆ ก็ตาม ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้แล้ว กล่าวได้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นพลังที่พุ่งเข้ามาปะทะอย่างรุนแรง

“พูดได้ยอดเยี่ยมมาก ลึกซึ้งยิ่งนัก พวกเดียวกันกินกันเอง มันคือลัทธิมาร!” เวลานี้ปรากฏเสียงอุทานดังขึ้น ไม่รู้ว่ามีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นแล้วตั้งแต่เมื่อใด

เขาเป็นผู้เฒ่าผู้หนึ่ง สวมใส่เสื้อที่ทำจากผ้าเก๋อ สะพายหลังด้วยกระบี่โบราณเล่มหนึ่ง ผมเผ้าและหนวดเคราสีขาว ดูไม่รู้ว่าเขามีอายุเท่าไร จากการคาดการณ์น่าจะมีอายุมากทีเดียว

การที่ปรากฏผู้เฒ่าผู้หนึ่งโผล่ออกมากะทันหันปราศจากซุ่มเสียงใดๆ สร้างความตระหนกตกใจแก่หยางเซิ่นผิงอย่างยิ่ง ชั่วดีอย่างไรเขาก็เป็นถึงระดับวีรบุรุษแท้จริง ทักษะยุทธไม่นับว่ากล้าแข็งนัก แต่ชั่วดีอย่างไรก็นับว่ามีระดับอยู่ แต่ทว่ากลับมีผู้หนึ่งอยู่ห่างจากตนใกล้ถึงเพียงนี้โดยที่ตนเองไม่รู้เลย เมื่อคิดทบทวนเรื่องนี้อย่างละเอียดแล้ว ก็ต้องทำให้ต้องหวาดกลัวจนขนลุกซู่ขึ้นมา

“ไม่ทราบว่าสหายมีนามว่ากระไร?” เวลานี้ผู้เฒ่าเดินเข้ามาและแสดงคารวะแบบจีนกับหลี่ชิเย่

หลี่ชิเย่เพียงมองหน้าเขาแวบหนึ่งด้วยท่าทีราบเรียบ กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “หลี่ชิเย่ บอกไปแล้วเจ้าก็ไม่รู้จัก”

ผู้เฒ่านึกดูอย่างละเอียด เขาไม่เคยได้ยินชื่อของหลี่ชิเย่จริงๆ แต่เมื่อเขามองดูหยางเซิ่นผิงและจูซือจิ้งทีหนึ่ง รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาทั้งสองมีชาติกำเนิดมาจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง

แต่ทว่า หลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้ากลับมองไม่ออกว่ามีประวัติความเป็นมาเช่นใด กระทั่งไม่สามารถรับรู้ถึงกลิ่นอายจากตัวของเขา แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตามเขายังคงไม่กล้าประมาท และไม่ได้ดูเคลนในหลี่ชิเย่แม้แต่น้อย

ผู้เฒ่าได้ละสายตาจากบนตัวของหลี่ชิเย่ และเหมือนดั่งหลี่ชิเย่ที่จ้องมองไปยังศิลาจารึกแผ่นนั้น สุดท้ายได้ทอดถอนใจออกมาเบาๆ และกล่าวว่า “ดูท่ายังคงมีคนที่ไม่ยอมแพ้!” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ดวงตาคู่นั้นของเขาพลันดูแหลมคมยิ่งทันที เสมือนดั่งกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เล่มหนึ่งที่สามารถสังหารสิ้นทุกสิ่ง

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ผู้เฒ่าเงยหน้ามองดูหลี่ชิเย่ และเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “สหาย ขึ้นมายังเขาทิ้งศพด้วยเหตุอันใด เพียงเพราะทิวทัศน์ของภูเขาลูกนี้อย่างนั้นรึ?”

……………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล