ในเวลานี้ ทั่วทั้งบริเวณกลับกลายเป็นเงียบเหงายิ่งนัก ทุกคนต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำ ล้วนแล้วแต่ต้องหวาดกลัวจนขนลุกซู่กับสิ่งนี้ ความเร็วของหลี่ชิเย่นั้นรวดเร็วเหลือเกิน เพียงชั่วพริบตาเดียวก็เข่นฆ่ายอดฝีมือของบ้านตระกูลเผิงไปหลายร้อยคน อีกทั้งบรรดายอดฝีมือเหล่านี้ล้วนแล้วแต่หาใช่บุคคลประเภทไร้ชื่อเสียงทั้งสิ้น
ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกเย็นยะเยือกที่ลำคอของตน ขณะมองดูเพชฌฆาตที่ถูกจับหักคอ โดยเฉพาะพวกศิษย์ตระกูลขุนนางโบราณที่นินทาหลี่ชิเย่ในทางเสียหายเมื่อครู่ ยิ่งรู้สึกได้ถึงลำคอของตนที่เย็นวาบ ถึงกับต้องยื่นมือไปลูบจับคอของตนด้วยสามัญสำนึก
เวลานี้อย่าว่าแต่ซี๋วจื้อเจี๋ย เฉินซูเหว่ยพวกเขาเหล่านั้นเลย ต่อให้บรรดาระดับบรรพบุรุษที่ยังไม่ได้ปรากฏตัวออกมาของกองกำลังซั่ง และหอศักดิ์สิทธิ์ล้วนแล้วแต่มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เนื่องจากในบรรดาเคล็ดวิชาที่ผู้เฒ่ากำแหงทิ้งเอาไว้นั้น วิชา ‘พลังพาลบ้าระห่ำ’ ไม่นับเป็นเคล็ดวิชาที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่ทว่า หลี่ชิเย่ที่เป็นผู้เยาว์เช่นนี้กลับสามารถฝึกจนถึงระดับขั้นเทพเช่นนี้ได้ นับว่าน่ากลัวเหลือเกิน ต่อให้เป็นกองกำลังซั่ง หรือหอศักดิ์สิทธิ์ก็มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าพูดว่า ‘พลังพาลบ้าระห่ำ’ ของตนฝึกได้เหนือกว่าเจ้าหนูที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้
ปังเสียงหนึ่งดังขึ้นมา หลี่ชิเย่จัดการโยนศพของเพชฌฆาตลงกับพื้นไปตามอารมณ์ คล้ายดั่งโยนทิ้งขยะอย่างนั้น จากนั้นได้จ้องมองไปที่เผิงฉู่จวินด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และกล่าวช้าๆ ว่า “มองเห็นชัดเจนแล้วยัง ข้าฆ่าลูกชายของเจ้าด้วยวิธีการแบบนี้แหละ!”
“เจ้า…” ใบหน้าของเผิงฉู่จวินซีดเผือดเมื่อได้ฟังคำๆ นี้ของหลี่ชิเย่แล้ว ถูกยั่วโมโหจนเกือบจะกระอักเป็นเลือดออกมา คำพูดลักษณะเช่นนี้เสมือนดั่งเป็นค้อนยักษ์ที่ทุบลงบนหน้าอกของเขาอย่างแรง ทำให้เขาถูกโจมตีอย่างหนักจนต้องก้าวถอยหลังติดต่อกันหลายก้าว
หลี่ชิเย่เพียงสะบัดมือออกไปตามอารมณ์ เชือกที่พันธนาการอย่างแน่นหนาบนตัวของหยางเซิ่นผิงและจูซือจิ้งก็สลายไปในทันที หลังจากที่หยางเซิ่นผิงและจูซือจิ้งได้รับการช่วยเหลือแล้วจึงรีบเร่งหลบไปอยู่ด้านหลังของหลี่ชิเย่ทันที
“ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าข้านั้นโหดเหี้ยม ใจทระนงไร้ความปราณี” หลี่ชิเย่มองดูเผิงฉู่จวินที่ถูกยั่วโมโหจนกระอักเลือดแวบหนึ่ง กล่าวเรียบเฉยว่า “ความจริงแล้ว คนอย่างข้าเป็นคนที่เปี่ยมด้วยเมตตายิ่ง ข้าให้โอกาสเจ้าอีกสักครั้งหนึ่ง เจ้าปลิดชีพตัวเองเถอะ แล้ววันนี้ข้าก็จะไม่เล่นบทคิดบัญชี หาไม่แล้วข้าจะล้างบ้านตระกูลเผิงเจ้าอย่างแน่นอน!”
หลี่ชิเย่ได้เอ่ยปากจะทำลายล้างบ้านตระกูลเผิงอีกครั้ง ก่อนหน้านั้นยังมีคนที่หัวเราะขึ้นมา รู้สึกว่าหลี่ชิเย่นั้นโอหังมากเกินไปแล้ว แต่มาคราวนี้ไม่มีใครกล้าพูดสักคำ ในใจของทุกคนต่างรู้สึกขนลุกซู่ ถึงกับจ้องมองไปที่เผิงฉู่จวิน
เวลานี้สีหน้าของเผิงฉู่จวินนั้นดูไม่จืดจนถึงขีดสุด กล่าวสำหรับเขาแล้ว แน่นอนย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะฆ่าตัวตาย บ้านตระกูลเผิงของพวกเขายังมีความสามารถที่จะสู้อย่างเต็มที่อีกครั้ง เขาไม่เชื่อว่าอาศัยผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งเพียงลำพังจะมีศักยภาพพอที่จะทำลายล้างบ้านตระกูลเผิงของพวกเขาได้
“ปล่อยออกมา…” เวลานี้สีหน้าของเผิงฉู่จวินดำคล้ำ ร้องเสียงเข้มออกมา
ตามติดด้วยเสียงตึง ตึง ตึงที่ดังขึ้น มองเห็นใต้พื้นดินปรากฏแผ่นเหล็กขนาดยักษ์สุดเปรียบเปรยโผล่ขึ้นมา ท่ามกลางเสียงที่ดังตึง ตึง ตึงแผ่นเหล็กขนาดยักษ์เหล่านี้ได้ประกอบเข้าด้วยกันกลับกลายเป็นกรงขังขนาดยักษ์ขึ้นมา เวลานี้ด้วยกรงขังขนาดยักษ์ยากจะหาใดเทียมพลันทำการขังพวกของหลี่ชิเย่สามคนเอาไว้อย่างหนาแน่น
“กรงไฟโลกันตร์นะเนี่ย…” แม้แต่ซี๋วจื้อเจี๋ยเองก็รู้สึกตกใจอยู่บ้างเมื่อมองเห็นกรงขังขนาดยักษ์เช่นนี้ มองดูเผิงฉู่จวินและเฉินซูเหว่ยแวบหนึ่ง และกล่าวว่า “ดูท่าบ้านตระกูลเผิงได้เตรียมการมาอย่างดี”
“กรงไฟโลกันตร์คือสุดยอดของวิเศษชิ้นหนึ่งของบ้านตระกูลเผิง ได้ยินว่าสร้างขึ้นโดยเทพแท้จริงคนหนึ่งของบ้านตระกูลเผิง มีอานุภาพสูงมาก” มีระดับผู้อาวุโสของสำนักหนึ่งมองดูกรงขังใบนี้แล้วกล่าวด้วยความตระหนกขึ้นมา
เผิงฉู่จวินส่งเสียงฮึเย็นชาออกมาเมื่อมองเห็นกรงขนาดยักษ์ได้ขังพวกหลี่ชิเย่ทั้งสามคนเอาไว้อย่างแน่นหนาแล้ว กล่าวน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “เจ้าหนูตระกูลหลี่ วันนี้ข้าจะต้องจัดการบดกระดูกและโปรยเถ้ากระดูกของเจ้า! เพื่อแก้แค้นให้กับลูกเวยของข้าที่ตายไป!”
“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาและกล่าวว่า “เกรงว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสนั้นตลอดไป เฉกเช่นเศษเหล็กโทรมๆ แบบนี้ก็คิดจะกักขังข้าเอาไว้อย่างนั้นรึ?”
“เจ้า…” สีหน้าของเผิงฉู่จวินพลันแปรเปลี่ยนไป เมื่อถูกหลี่ชิเย่ดูแคลนถึงเพียงนี้ ร้องเสียงดังออกมาว่าปล่อย…
ตูม…เสียงหนึ่งดังขึ้น ทันใดนั้นเอง ยอดฝีมือของบ้านตระกูลเผิงได้ทำการขับเคลื่อนกรงไฟโลกันตร์ใบนี้ พริบตาเดียวนั้นเอง ทุกๆ ด้านของกรงไฟโลกันตร์พลันปรากฏไฟที่คุโชนพวยพุ่งออกมาจากทุกทิศทุกทาง
ไฟคุโชนนี้ส่งประกายไฟสีเขียวแวบวับ ประกายไฟทุกสายเสมือนดั่งเป็นของมีคมสีเขียวอย่างนั้น สามารถเชือดเฉือนเนื้อหนังของคนได้
“ไฟเทพแท้จริง…” ครั้นยอดฝีมือรุ่นอาวุโสมองเห็นกรงไฟคุโชนที่พวยพุ่งอยู่ออกมาจากกรงไฟโลกันตร์ รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร ถึงกับต้องตื่นตระหนก
ไฟเทพแท้จริงคือไฟโลกันตร์ที่เกิดจากการหลอมกลั่นของเทพแท้จริง เมื่อมีการลุกไหม้ขึ้นสามารถเผาผลาญยอดฝีมือที่มีระดับตั้งแต่เทพแท้จริงลงไปให้กลายเป็นเถ้าธุลีไปโดยพลัน
“เจ้าเดรัจฉานน้อย วันนี้จะต้องเผาเจ้าให้เป็นจุณอย่างแน่นอน!” เผิงฉู่จวินถึงกับกล่าวด้วยความขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อมองเห็นไฟเทพแท้จริงที่โหมลุกไหม้ไม่ขาดสายได้กลืนกินพวกของหลี่ชิเย่ทั้งสามคน อยากจะมองเห็นพวกของหลี่ชิเย่ที่ถูกเผาจนกลายเป็นจุณตอนนี้เลยให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ซึ่งจะทำให้เขารู้สึกสะใจยิ่งที่สามารถชำระแค้นได้
“เสียดาย ไฟแบบนี้อ่อนเหลือเกิน” ขณะที่เผิงฉู่จวินกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่นั้น เสียงที่เอ้อระเหยเสียงหนึ่งได้ดังขึ้น
ทุกคนต่างจ้องมองไปยังไฟที่กำลังคุโชน มองเห็นหลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความสบายอกสบายใจ เวลานี้ทั่วตัวของหลี่ชิเย่ปรากฏประกายที่จางๆ ออกมา ซึ่งประกายที่จางๆ นี้ไม่เพียงครอบคลุมร่างกายของเขา และยังปกคลุมร่างของหยางเซิ่นผิงและจูซือจิ้งที่อยู่ด้านหลังเขา ภายใต้การปกคลุมจากกระกายจางๆ เช่นนี้ ไม่เพียงแต่หลี่ชิเย่ที่ปลอดภัยไม่เป็นอะไร แม้แต่หยางเซิ่นผิงและจูซือจิ้ง สองคนก็ไม่ถูกไฟเทพแท้จริงทำร้ายได้แม้แต่นอย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...