เผิงฉู่จวินวิ่งหนีแบบล้มลุกคลุกคลานเข้าไปภายในค่ายตระกูลเฉินของกองกำลังซั่ง เขาเพิ่งวิ่งเข้าไปในเขตค่ายตระกูลเฉินของกองกำลังซั่งก็ล้มลงและไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก เขาได้รับบาดเจ็บที่สาหัสมาก เรียกได้ว่ายามที่เขาพาตัวเองเข้าไปในค่ายของตระกูลเฉินนั้นได้ใช้พลังที่เหลืออยู่จนสิ้น เป็นพลังเฮือกสุดท้ายแล้ว
“ช่วยข้าด้วย…” เมื่อเฉินฉู่จวินล้มลงบนพื้นบริเวณค่ายของตระกูลเฉินได้ร้องเสียงดังออกมาทันที
บ้านตระกูลเผิงนับเป็นสายย่อยหนึ่งของกองกำลังซั่ง ยิ่งกว่านั้นพวกเขาเคยเกี่ยวดองสมรสระหว่างกันกับตระกูลเฉินมาหลายยุคหลายสมัย แม้จะกล่าวว่าตระกูลเผิงหาใช่พันธมิตรที่เข้มแข็งที่สุดของตระกูลเฉิน แต่ทว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามบ้านตระกูลเผิงก็ยังคงเป็นพันธมิตรของตระกูลเฉิน อีกทั้งเผิงฉู่จวินมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากกับเจ้าบ้านตระกูลเฉินและบรรดาผู้อาวุโสต่างๆ ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลเฉินของกองกำลังซั่งจะไม่เข้าช่วยเหลือเขา
ดังนั้น ขณะที่เผิงฉู่จวินล้มลงที่ค่ายตระกูลเฉินนั้น ศิษย์ของตระกูลเฉินได้เข้าไปหามตัวเขาเข้าไปรักษาอาการบาดเจ็บภายในค่ายทันที
ฉับพลันนั้นเอง ณ ค่ายตระกูลเฉินของกองกำลังซั่งปรากฏเสียงของดาบกระบี่และโล่ขนาดใหญ่ดังตึง ตึง ตึงขึ้นมาเป็นระลอก กองทัพแต่ละหน่วยเข้าประจำที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าด้านหลังของค่าย ด้านซ้ายขวาทั้งสองปีก กองทัพของตระกูลเฉินได้ปิดล้อมค่ายเอาไว้อย่างแน่นหนา ทันใดนั้นค่ายทหารทั้งค่ายได้กลายสภาพคล้ายป้อมปราการขนาดยักษ์สุดเปรียบเปรย ป้อมค่ายลักษณะเช่นนี้มีความแข็งแกร่งมาก ยากจะตีให้แตกได้
ย่อมไม่ต้องสงสัย หลังจากเข้าช่วยเหลือเผิงฉู่จวินเอาไว้แล้ว ตระกูลเฉินของกองกำลังซั่งได้เข้าสู่โหมดพร้อมรบในทันที พวกเขาเหมือนดั่งได้พบกับศัตรูที่แข็งแกร่งมากอย่างนั้น
ทุกคนที่ได้เห็นภาพนี้แล้วต่างถึงกับกลั้นลมหายใจเอาไว้ ทุกคนจ้องมองดูหลี่ชิเย่ และมองไปที่บริเวณค่ายของตระกูลเฉิน
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ ก้าวเดินไปยังค่ายของตระกูลเฉินอย่างช้าๆ เขาก้าวเดินไม่เร็ว แต่ละก้าวที่ก้าวเท้าออกไปดูผ่อนคลายยิ่ง แต่ว่า ยามที่หลี่ชิเย่ก้าวออกไปแต่ละก้าวก็เหมือนได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของทุกคนอย่างนั้น ทำให้ทุกคนต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่หลี่ชิเย่เข้าใกล้ค่ายของตระกูลเฉินทุกขณะนั้น ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องกุมมือทั้งสองเอาไว้
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หลี่ชิเย่ก็ได้ก้าวเดินมาถึงด้านนอกของค่ายตระกูลเฉินแล้ว
“หยุด…” จากการร้องเสียงดังออกมาของศิษย์ตระกูลเฉิน ได้ยินเสียงตึง ตึง ตึงของหอกดังขึ้นเป็นระลอก มองเห็นหอกยากที่ส่งประกายวาววับแต่ละเล่มถูกตั้งขึ้น และปลายหอกที่เป็นส่วนหัวแหลมคมและส่งประกายเยือกเย็นแวบวับชี้ไปที่หลี่ชิเย่ พลันกลับกลายเป็นรูปขบวนภูเขาดาบป่าหอกทวนอย่างนั้น ส่วนปลายของดาบแลดูซ้อนกันเป็นชั้นๆ หากคิดจะบุกเขาค่ายตระกูลเฉินล่ะก็ เกรงว่าคงต้องผ่านด่านภูเขาดาบป่าหอกทวนเช่นนี้ตรงหน้าเสียก่อน
เวลานี้ ทั่วทั้งค่ายตระกูลเฉินตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายการฆ่า กลิ่นอายการฆ่าฟันคลอบคลุมไปทั่วค่ายตระกูลเฉิน
มองดูค่ายตระกูลเฉินที่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายการฆ่า และมีความแข็งแกร่งมาก ยากจะตีให้แตกได้ ทุกคนถึงกับมองตากันและกัน กองกำลังซั่งในฐานะเป็นหนึ่งในสี่ขั้วอำนาจใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ยิ่งตระกูลเฉินด้วยแล้วถือเป็นเสาหลักของกองกำลังซั่งทีเดียว อาศัยค่ายทหารเช่นนี้ก็พอจะมองออกถึงศักยภาพของตระกูลเฉินได้แล้ว พวกเขาสมคำเล่าลือจริงๆ พวกเขามีกำลังเพียงพอที่จะท้าสู้กับใคร หรือสำนักใดๆ ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ได้
“ท่าน จงหยุดอยู่ตรงนั้น!” ในขณะที่หลี่ชิเย่เดินเข้าไปใกล้ ศิษย์ของตระกูลเฉินได้ร้องเตือนด้วยเสียงดังขึ้นมา “อย่าทำให้ตนเองต้องเดือดร้อน!”
แม้ว่าศิษย์ของตระกูลเฉินได้กล่าวเตือนหลี่ชิเย่ไปแล้ว แต่ทว่า พวกเขาเองก็อยู่ในสภาวะที่ตึงเครียด ประสาทตึงไปทั่วร่าง ภาพของหลี่ชิเย่ที่สังหารอย่างดุดันพวกเขาประจักษ์กับตาตนเอง ศิษย์ของบ้านตระกูลเผิงหลายพันคนถูกหลี่ชิเย่เข่นฆ่าสังหารเสียสิ้นภายในระยะเวลาอันสั้น เวลานี้พวกเขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าสามารถต้านคนโหดที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เอาไว้ได้
แต่ว่าโชคดีตรงที่ว่า ตระกูลเฉินของพวกแข็งแกร่งมากกว่าไม่รู้เท่าไรเมื่อเทียบกับบ้านตระกูลเผิง พวกเขายังมีสิ่งที่พึ่งพิงได้ซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่า พวกเขามีระดับบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทียม ซึ่งเป็นธาตุแท้ภายในที่กล้าแข็งที่สุดของตระกูลเฉินพวกเขา
เสียงปัง ปัง ปังดังขึ้น เป็นเสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินด้วยความพร้อมเพรียง เวลานี้องครักษ์เมืองหลวงเฉินซูเหว่ยได้นำพากองทัพม้าสองขบวนวิ่งฮ้อออกมาจนกระทั่งมาถึงข้างนอกด้านหน้าของประตู่ค่าย
ทหารม้าทั้งสองขบวนได้แปรขบวนแยกออกเป็นซ้ายขวาเข้าปิดล้อมเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นตัวของเฉินซูเหว่ยเองหรือกองทหารม้าที่เป็นศิษย์ของตระกูลเฉินทั้งสองขบวนต่างสวมเสื้อเกราะมาเต็มยศ ชุดเกราะที่หนาเตอะได้หุ้มร่างของพวกเขาไว้ทั้งหมด เผยให้เห็นเฉพาะดวงตาคู่นั้นเท่านั้น
ชุดเกราะบนตัวของทั้งเฉินซูเหว่ยกับศิษย์ของตระกูลเฉินทุกคนล้วนแล้วแต่ส่งประกายเยือกเย็นแวบวับออกมา ผู้คนที่มองเห็นเสื้อเกราะลักษณะเช่นนี้สามารถรู้ได้ทันทีว่าเป็นโลหะวิเศษที่ผ่านการหลอมกลั่นมาหลายครั้งจนนำมาสร้างเป็นเสื้อเกราะดังกล่าวในที่สุด ซึ่งชุดเกราะประเภทนี้มีสมรรถนะในการป้องกันที่แกร่งมาก ยอดฝีมือโดยทั่วไปยากที่จะโจมตีทะลุผ่านแนวป้องกันของเสื้อเกราะเช่นนี้ไปได้
กองกำลังลักษณะเช่นนี้สองขบวนที่แยกเป็นซ้ายขวาวิ่งฮ้อเข้ามานั้น เสมือนดั่งเป็นน้ำหลากที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้าสองสาย สามารถพุ่งชนทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่กีดขวางข้างหน้าพวกเขาได้ทั้งหมด ด้วยท่าทีที่แหลมคมไม่อาจต้านทานได้ ด้วยขบวนอาชาที่ดุดันแข็งแกร่งเช่นนี้ เกรงว่าผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ
ความเข้มแข็งของตระกูลเฉินใช่เป็นเพียงคำพูดที่เลื่อนลอย กองทัพของตระกูลเฉินพวกเขาผ่านสมรภูมิรบมานับไม่ถ้วน เคยสู้รบปราบปรามไปทั่วสารทิศ มีศักยภาพที่แข็งแกร่งอย่างเพียงพอ
เฉินซูเหว่ยนำทัพที่เป็นกองกำลังอาชาสองขบวนวิ่งฮ้อมาถึงหน้าค่ายโดยพลัน และเข้าขวางหลี่ชิเย่เอาไว้ ทำให้บรรยากาศเกิดความตึงเครียดขึ้นเป็นพิเศษและตื่นเต้นโดยพลัน
“พี่หลี่ โปรดหยุดอยู่เพียงเท่านั้น” เวลานี้เฉินซูเหว่ยได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ค่ายทหารเป็นเขตหวงห้าม อย่าได้บุกรุกเข้ามาตามอำเภอใจ”
หลี่ชิเย่มองดูกองทัพทหารม้าสองขบวนของเฉินซูเหว่ยที่เข้ามาขวางทางตนเอาไว้แล้วยิ้มจางๆ และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “แค่พวกที่มีชื่อเสียงจอมปลอมกลุ่มหนึ่งเท่านั้น คิดว่าจะขวางข้าเอาไว้ได้อย่างนั้นรึ?”
พลันที่คำพูดนี้ถูกพูดออกมา ทำให้บรรดาผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำ คำพูดลักษณะเช่นนี้ช่างอันธพาลยิ่งนัก ถ้าหากเกิดขึ้นขณะยังไม่มีการทำลายล้างบ้านตระกูลเผิงล่ะก็ ทุกคนจะต้องเห็นด้วยเป็นเอกฉันท์ว่าหลี่ชิเย่นั้นอวดดีมากเกินไปเสียแล้ว ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แต่ทว่า เวลานี้ต่อให้หลี่ชิเย่พูดคำพูดกที่อวดดีมากไปกว่านี้ก็ไม่มีใครกล้าพูดมาก และไม่กล้าไปวิจารณ์สุ่มๆ การเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมทารุณของหลี่ชิเย่เมื่อครู่ เพียงพอที่จะอธิบายได้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
สีหน้าของเฉินซูเหว่ยดูไม่จืดถึงขีดสุดเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ แม้ว่าตระกูลเฉินแห่งกองกำลังซั่งพวกเขาหาใช่สำนักที่แข็งแกร่งมากที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง กองทัพอาชาของพวกเขาก็ไม่นับเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งมากที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง แต่ศักยภาพของตระกูลเฉินพวกเขาสามารถเบียดเข้าไปอยู่ในอันดับหนึ่งในห้าของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้อย่างแน่นอน
ด้วยกำลังที่กล้าแข็งเช่นนี้ เมื่อออกจากปากของหลี่ชิเย่แล้วกลับกลายเป็นไร้ค่าแม้แต่น้อย กองทัพของพวกเขาที่ผ่านสมรภูมิรบมาอย่างโชกโชนกลายเป็นพวกมีชื่อเสียงจอมปลอมจากปากของหลี่ชิเย่ แล้วจะไม่ให้สีหน้าของเฉินซูเหว่ยดูไม่จืดถึงขีดสุดได้อย่างไรเล่า?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...