ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 2190

สรุปบท ตอนที่ 2190 สามเทพเลือดกำแหง: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ตอนที่ 2190 สามเทพเลือดกำแหง – ตอนที่ต้องอ่านของ ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ตอนนี้ของ ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายActionทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 2190 สามเทพเลือดกำแหง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

กษัตริย์ซุนหยาง ในฐานะกษัตริย์นอกตระกูล แม้ว่าจะมีอำนาจอยู่ในมือ แต่ว่าเขากลับถูกขัดขวางต่างๆ นานา เขาซึ่งไม่ยินยอมกับสิ่งนี้จึงได้ฝึกวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ที่ป้าซั่งถ่ายทอดให้ แน่นอนที่สุด การที่ป้าซั่งถ่ายทอดวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ให้ก็ไม่ได้หวังดีอะไรนัก เพียงแต่ต้องการลากเอากษัตริย์ลงมาแปดเปื้อนเท่านั้น หวังจะทำให้มีผู้คนในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจำนวนมากกว่านี้ไปฝึกวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ทำให้กระแสแห่งความชั่วร้ายในครั้งนั้นกลับมาปกคลุมระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอีกครั้งหนึ่ง

หวังหานในฐานะราชินี ร่วมเรียงเคียงหมอนกับสามี กล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของซุนหยางเป็นคนแรก ดังนั้น หวังหานจึงพบความจริงเรื่องการแอบฝึกวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ อย่างลับๆ ของซุนหยาง

หวังหานนั้นมองสถานการณ์ในอนาคตข้างหน้าได้ไกลยิ่งกว่าซุนหยางที่เป็นกษัตริย์ นางไม่ได้กระหายในความสำเร็จและผลประโยชน์เฉพาะหน้าเพียงเพราะถูกขัดขวาง และกลั่นแกล้งต่างๆ นานาจากกองกำลังซั่ง ค่ายฉู่ และหอศักดิสิทธิ์ แล้วตกลงไปในลัทธิมาร

ดังนั้น หวังหานจึงได้พยายามอย่างยิ่งครั้งแล้วครั้งเล่าในการเตือนสติและเกลี้ยกล่อมให้สามีของตนละทิ้งการฝึกวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ เสีย เพื่อไม่ให้ตกไปอยู่ในลัทธิมาร และป้องกันไม่ให้ดึงเอาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทั้งหมดลงไปในหุบเหวลึกจนไม่ได้ผุดได้เกิดอีก

แต่ทว่า ซุนหยางที่ได้ลิ้มลองวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ มาแล้วไหนเลยจะยอมละทิ้งเพียงเท่านี้ได้เล่า? กล่าวสำหรับตัวเขาแล้ว การฝึกวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ สามารถทำให้พลังวัตรของเขารุดหน้าไปอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น มันช่างเต็มไปด้วยความเย้ายวนใจเหลือเกิน

หลังจากที่หวังหานได้พยายามเตือนสติและเกลี้ยกล่อมอย่างหนักมาหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล นางจึงรู้ว่าบนเส้นทางการฝึก ‘มารคลั่งดูดเลือด’ สายนี้ของซุนหยางได้ก้าวเดินไปไกลมากจนไม่อาจหันหลังกลับมาได้อีกแล้ว เขาได้ตกลงไปยังหุบเหวลึกแห่งความเย้ายวนใจของ ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้เอง หวังหานจึงได้นำเรื่องสามีของตนแอบฝึก ‘มารคลั่งดูดเลือด’ แจ้งต่อเหล่าบรรพบุรุษของจวนหวัง เพื่อร่วมปรึกษาหาทางรับมือ

กล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้ว การฝึกวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ คือสิ่งต้องห้าม ซึ่งจะลากเอาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทั้งหมดตกลงไปในหุบเหวลึกที่ไม่ได้ผึดได้เกิดอีกเลย ขณะเดียวกันก็จะเป็นการทำลายจวนหวังด้วยเช่นกัน ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ย่อมสามารถประเมินได้ว่าผลจะเป็นเช่นใด

ผลที่ปรากฏหลังจากนั้นทุกคนรับรู้กันหมดแล้ว กษัตริย์สวรรคต พร้อมกับต้อนรับการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง

แม้ว่าท่าทีของหวังหานจะดูเฉยเมยขณะพูดออกมาเช่นนี้ แต่ว่า ภายในจิตใจของนางไหนเลยจะรู้สึกดีได้ ไหนเลยจะไม่ใช่เปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวอยู่เต็มอก การที่พวกเขาสองสามีภรรยาสามารถก้าวเดินมาจนถึงวันนี้ใช่จะเป็นเรื่องง่ายดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามีของนางมีชาติกำเนิดมาจากศิษย์ของสำนักขนาดเล็ก ท้ายที่สุดสามารถก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง สิ่งนี้นอกเหนือจากความพยายามที่ไม่หยุดหย่อนของตัวเขาแล้ว นางที่อยู่ในฐานะภรรยาได้ทุ่มเทความพยายามและค่าตอบแทนไปมากมายเท่าไร

ในครั้งนั้น เพื่อให้สามีสามารถก้าวขึ้นสู่บัลลังก์กษัตริย์ นางได้ทุ่มเทพลังกายใจนับไม่ถ้วนจึงสามารถรวบรวมทุกระดับชั้นภายในจวนหวังเอาไว้ได้ ทำให้เหล่าบรรพบุรุษทั้งหมดของจวนหวังล้วนแล้วแต่ให้การสนับสนุนซุนหยางในการแย่งยิงบัลลังกษัตริย์

การที่ซุนหยางสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกษัตริย์ ไม่เพียงเป็นความพยายามของตัวเขา และยังเป็นพลังกายใจของหวังหานด้วย

แม้จะกล่าวว่า หลังจากก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกษัตริย์แล้วยังคงได้รับการขัดขวางต่างๆ นานาจากขั้วอำนาจใหญ่แต่ละฝ่าย แต่ทว่าสำหรับหวังหานแล้วนางยังคงเปี่ยมด้วยความหวัง จะอย่างไรเสียพวกเขายังคงมีอายุน้อย ในอนาคตพวกเขายังสามารถใช้ความพยายามได้อีกเป็นยุคสมัย

กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนคนหนึ่ง การได้เป็นกษัตริย์แล้วเป็นผู้บงการราชวงศ์หนึ่งเป็นเวลาหลายพันปีนับเป็นเรื่องปรกติมาก กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว ระยะเวลาหลายพันปีเพียงพอให้พวกเขาได้ใช้ความพยายาม เพียงพอให้พวกเขาได้พยายามช่วงชิงเพื่อให้ได้มา

น่าเสียดาย ท้ายที่สุดแล้วยังคงเป็นเพราะซุนหยางที่กระหายในความสำเร็จและผลประโยชน์เฉพาะหน้า จึงทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขามี ทำลายความสำเร็จที่พวกเขาได้เพียรพยายามบริหารมาด้วยความยากลำบาก

การสวรรคตของซุนหยาง นั่นบ่งบอกถึงความพยายามและกำลังกายใจทั้งหมดของนางไหลไปตามสายน้ำ จวนหวังของพวกเขาก็ได้จ่ายค่าตอบแทนที่สูงมาก เนื่องจากการสวรรคตของกษัตริย์ย่อมบ่งบอกว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจะมีการคัดเลือกกษัตริย์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะเป็นการชิงชัยร่วมกันของขั้วอำนาจใหญ่ไม่กี่แห่งของพวกเขา

แต่ว่า แม้จวนหวังจะรู้อยู่แล้วว่า ตำแหน่งกษัตริย์อาจจะต้องประเคนด้วยมือทั้งสองส่งมอบให้กับคนอื่นแต่ก็ไม่มีทางเลือก ไม่ก็คือปล่อยให้ซุนหยางได้ฝึก ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ต่อไป ปล่อยให้จวนหวัง และระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก้าวสู่ระดับไม่ได้ผุดได้เกิด ไม่ก็ต้องยอมตัดแขนตัวเองแบบผู้กล้า ไม่ว่าจะเป็นหวังหานหรือจวนหวัง ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องตัดสินใจเลือก

กษัตริย์ฝึกวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ได้กลายเป็นความจริงแล้ว แต่ทว่า ขณะราชินียอมรับกับปากของนางยิ่งเป็นที่หวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คน ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำ ในใจรู้สึกหวั่นไหวจนไม่สามารถพูดอะไรออกมา

ในฐานะกษัตริย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง เป็นตัวแทนสายตรงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ยังทำลายกฎเหล็กของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเอง แอบฝึก ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ช่างเป็นเรื่องที่สร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คน มันคือความไม่ซื่อต่อตนเองชัดๆ !

“เหอะ พูดได้แต่เพียงตัวเขาออกศึกยังไม่ทันได้ชัยชนะกลับต้องเสียชีวิตไปก่อน ขอเพียงเขาสามารถรับรู้ในปรโลกได้ ต้องได้เห็นวันนั้น วันที่ ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ที่แผ่ขยายไปทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง เขาต้องได้เห็นวันที่ ‘มารคลั่งดูดเลือด’ กลืนกินไปทั่วแดนลัทธิพรรษ แดนลัทธิราชัน และแดนลัทธิเซียน” ป้าซั่งหัวเราะน่าครั่นคร้ามและกล่าวว่า “เขาก็คล้ายดั่งเทพแท้จริงเทียนเต๋ออย่างนั้น เป็นผู้ก้าวเดินไปก่อนที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่ง”

“ปล่อยข่าวให้คนอื่นหลงเชื่อ!” เวลานี้ดวงตาทั้งสองของหลี่เชียนดูเข้ม ก้าวเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง กล่าวน่าครั่นคร้ามว่า “วันนี้ต้องสังหารเจ้าให้ได้!”

“หลี่เชียน วันนี้ดูว่าใครจะได้อำนาจไป!” แม้ป้าซั่งต้องเผชิญกับหลี่เชียนก็ไม่หวั่น คำรามเสียงดังออกมา ตูมเสียงดังสนั่น นาทีนี้เองมังกรขาสั้นปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง มาคราวนี้เป็นมังกรยักษ์ที่ออกเป็นสีแดงเลือด โดยที่มังกรยักษ์ตัวนี้มีเลือดที่ไหลหยดลงมา เสมือนดั่งเพิ่งจะขึ้นมาจากทะเลเลือดอย่างนั้น บนตัวยังคงมีเลือดที่หยดลงมา

กรรรในชั่วพริบตาเดียวนี้เอง มังกรยักษ์ได้อ้าปากกว้างของมันและได้ยินเสียงดังจี๊ดดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง มันได้ดูดไปยังหลี่เชียน ในเสี้ยววินาทีนี้เอง มังกรยักษ์ได้ดูดกลืนฟ้าดิน

ยามที่ปากมังกรเลือดตัวนี้อ้าปากดูดกลืนนั้น ได้ยินเสียงจี๊ด จี๊ด จี๊ดดังขึ้น ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า หรือพพื้นดินแม่น้ำลำธารในบริเวณที่หลี่เชียนยืนอยู่ ต้นไม่ใบหญ้าทั้งหมดแห้งเหี่ยวเฉาตายทันที ผืนแผ่นดินแห้งจนแตกระแหงโดยพลัน

การอ้าปากของมังกรเลือดพลันดูดกลืนเอาพลังแก่นฟ้าดินไปทั้งหมด เหล่าศิษย์ผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ใกล้กับหลี่เชียนท่ามกลางเสียงดังจี๊ดก็กลายเป็นหมอกเลือดไปทันที ถูกมังกรเลือดตัวนี้ดูดกลืนไปสิ้นโดยพลัน

เป็นผู้เฒ่าสามคนที่สวมชุดสีแดงทั้งชุด พวกเขาไม่เพียงชุดที่เป็นสีแดงเท่านั้น แม้แต่ผิวหนังก็ส่งประกายเลือดออกมาแวบวับ เส้นผมและคิ้วก็คล้ายดั่งถูกเลือดย้อมจนกลายเป็นสีแดงอย่างนั้น ยามที่พวกเขาทั้งสามคนยืนอยู่ตรงนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนได้กลิ่นคาวเลือดอย่างนั้น สร้างความหวาดกลัวจนต้องขนลุกซู่

ผู้เฒ่าลักษณะเช่นนี้ทั้งสามที่ยืนอยู่ตรงนั้น พวกเขาคล้ายดั่งเพิ่งจะก้าวขึ้นมาจากบ่อโลหิตอย่างนั้น ทำให้ผู้คนถึงกับสะท้านขึ้นในใจ

“สามเทพเลือดกำแหง!” สีหน้าของหลี่เชียนต้องเปลี่ยนไปมากทีเดียวเมื่อมองเห็นคนทั้งสามที่อยู่ตรงหน้า ม่านต่าถึงกับหดลง

“แก่แล้ว ไม่นึกเลยว่าจากบ้านเกิดมานานถึงเพียงนี้ยังมีคนรู้จักพวกเรา” ในขณะนี้ หนึ่งในสามผู้เฒ่าที่ในมือถือกระบี่โลหิตถึงกับกล่าวทอดถอนใจออกมา

ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ได้มองหน้าหลี่เชียนทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ศิษย์ของซิวหลอจ้านเทียนย่อมแตกต่าง ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วก็ยังคงจดจำตาเฒ่าสามคนอย่างพวกเราได้เสมอ”

ม่านตาของหลี่เชียนถึงกับหดตัว ท่าทีกลับกลายเป็นหนักแน่นจริงจังยิ่งนัก เมื่อมองเห็นผู้เฒ่าทั้งสามที่อยู่ตรงหน้า

ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จำนวนมากล้วนแล้วแต่ไม่เคยได้ยินชื่อสามเทพเลือดกำแหงมาก่อน กระทั่งยอดฝีมือรุ่นอาวุโสจำนวนมากล้วนแล้วแต่ต้องมองหน้ากันและกัน

“สามเทพเลือดกำแหง เทพชั่วร้ายเลือดกำแหง เทพมารเลือดกำแหง เทพดุร้ายเลือดกำแหง” ระดับบรรพบุรุษที่มีอายุมากๆ คนหนึ่งถึงกับร้องเสียงดังออกมาด้วยความหวาดผวา แม้ว่าเขาไม่เคยเห็น ‘สามเทพเลือดกำแหง’ มาก่อน แต่เคยได้ยินชื่อของพวกเขาทั้งสาม ถึงกับต้องรู้สึกเสียวสันหลังวาบ และพึมพำออกมาว่า “ผู้ที่หนีรอดไปได้ในครั้งนั้น เคยเป็นขุนพลที่กล้าหาญในบังคับบัญชาของเทพแท้จริงเทียนเต๋อ”

ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างหวาดผวาเมื่อได้ยินคำพูดของบรรพบุรุษผู้นี้ ผู้คนจำนวนเท่าไรที่เคยได้ยินชื่ออันโด่งดังของเทพแท้จริงเทียนเต๋อ เขาเคยเกรียงไกรเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินในครั้งนั้น ปราศจากผู้ต่อกร

เวลานี้ผู้เฒ่าทั้งสามที่อยู่ตรงหน้าถึงกับเป็นขุนพลผู้กล้าใต้บังคับบัญชาของเทพแท้จริงเทียนเต๋อ มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน

สามเทพเลือดกำแหงในครั้งนั้นคือขุนพลผู้กล้าใต้บังคับบัญชาของเทพแท้จริงเทียนเต๋อ พวกเขาได้หลบหนีออกไปจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไปได้ ครั้งนั้นเมื่อซิวหลอจ้านเทียนทำการกำจัดศิษย์ทรยศ แล้วหายไปไร้ร่องรอย ต่อมาภายหลังทุกคนต่างเข้าใจว่าพวกเขาได้ตายไปแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขายังคงมีชีวิตอยู่บนโลก

……………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล