ไม่รู้ว่าผ่านไปแล้วกี่ปี เมื่อสามเทพเลือดกำแหงหวนกลับคืนมาอีกครั้ง ขณะที่ซิวหลอจ้านเทียนไม่ได้อยู่บนโลกอีกแล้ว อาศัยหลี่เชียนเพียงคนเดียวที่เป็นผู้ยืนหยัดดูแลสำนักต่อไป
ในขณะนี้ ท่าทางของหลี่เชียนดูหนักแน่นจริงจัง เนื่องจากลำพังอาศัยกำลังของเขาเพียงคนเดียวไม่สามารถต้านรับกับสามเทพเลือดกำแหงที่อยู่ตรงหน้าได้
ผู้ที่ถือกระบี่โลหิตในมือก็คือผู้นำของสามเทพเลือดกำแหงที่ชื่อว่าเทพชั่วร้ายเลือดกำแหง ส่วนอีกสองคนก็คือเทพมารเลือดกำแหง และเทพดุร้ายเลือดกำแหง
“น่าเสียดายที่ซิวหลอจ้านเทียนไร้ผู้สืบทอด ครั้งนั้นซิวหลอจ้านเทียนปราศจากผู้ต่อกรเพียงใด มาวันนี้ศิษย์ที่อยู่บนโลกเพียงหนึ่งเดียวก็แค่เทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นห้าเท่านั้นเอง” เทพมารเลือดกำแหงหนื่งในสามเทพเลือดกำแหงกล่าวเสียงเย็นชาขึ้นมา
ทุกคนต่างจ้องมองไปที่หลี่เชียนเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่รู้มาก่อนว่าแท้จริงแล้วหลี่เชียนคือระดับเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นที่ห้า มิน่าเล่าป้าซั่งจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาโดยสิ้นเชิง
“เป็นศิษย์ที่ไร้ความสามารถ ละอายต่อท่านอาจารย์ วิชาที่ได้มาเทียบไม่ได้กระทั่งหนึ่งหรือสองในสิบของท่าน” หลี่เชียนได้แต่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ
เป็นความจริง หากว่ากันด้วยเรื่องทักษะ กำลังความสามารถ หลี่เชียนนั้นห่างชั้นเทียบไม่ได้กับซิวหลอจ้านเทียนอาจารย์ของเขา ลองคิดดู เทพแท้จริงเทียนเต๋อในครั้งนั้นเกรียงไกรไปทั่ว สุดท้ายยังต้องถูกซิวหลอจ้านเทียนสังหาร ย่อมประเมินได้ว่าซิวหลอจ้านเทียนนั้นมีความแข็งแกร่งเพียงใด
แต่จะโทษหลี่เชียนก็ไม่ถูก เนื่องจากครั้งนั้นเพื่อปราบปรามพวกของเทพแท้จริงเทียนเต๋อให้สิ้นซาก ผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมเรียกได้ว่ายกกำลังออกไปทั้งหมด ไม่ได้มีเพียงซิวหลอจ้านเทียนที่เข้าต่อสู้เพียงคนเดียว ศึกครั้งนี้กล่าวได้ว่าโหดร้ายทารุณอย่างยิ่ง ระดับบรรพบุรุษส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ตายในสนามรบ แม้แต่ซิวหลอจ้านเทียนที่เป็นอาจารย์ของหลี่เชียนหลังจากสังหารเทพแท้จริงเทียนเต๋อไปแล้วไม่กี่ปีต่อมา ก็ต้องนอนป่วยและเสียชีวิตลงจากอาการบาดเจ็บสาหัสที่กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง
ในครั้งนั้นเนื่องจากหลี่เชียนอายุยังน้อย เป็นเพียงศิษย์ที่อ่อนวัยที่สุดในสายของผู้พิทักษ์จึงไม่ได้เข้าร่วมศึกในครั้งนั้น การฝึกของเขายังอยู่ในระดับธรรมดาเท่านั้นเอง ในช่วงหลายปีสุดท้ายแม้ว่าจะได้รับการทุ่มเทเอาใจใส่จากซิวหลอจ้านเทียนที่เป็นอาจารย์ของเขาด้วยตนเอง แต่จะอย่างไรเสียระยะเวลาสั้นเกินไป เมื่อซิวหลอจ้านเทียนตายจากไป ในด้านทักษะและบำเพ็ญเพียรล้วนแล้วแต่อาศัยหลี่เชียนไปคลำหาฝึกเอาเองลำพังคนเดียวทั้งสิ้น
สมควรทราบว่า ในครั้งนั้นหลังจากที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายเช่นนั้นแล้ว เรียกได้ว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอยู่ในสภาพที่ร่วงโรยขาดซึ่งบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถ ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่มีใครที่จะให้การชี้แนะต่อหลี่เชียนอีกด้วย หลี่เชียนต้องฝึกโดยการคลำทางไปลำพังคนเดียวอย่างยากลำบาก สามารถก้าวจนถึงจุดนี้ในวันนี้ นับว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว
“อย่าว่าแต่เจ้าที่เป็นเพียงระดับเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นที่ห้าคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงในวันนี้มีราชันแท้จริงสามลัคนาก็หาใช่คู่ต่อสู้ของพวกเราสามพี่น้อง หากรู้จักกาลเทศะก็ยอมจำนนเสีย” เทพมารเลือดกำแหงมองดูหลี่เชียน แล้วกล่าวน่าเกรงขามขึ้นมา
คำพูดของเทพมารเลือดกำแหงทำเอาผู้คนถึงกับใจหายใจคว่ำ ในเวลานี้เองทุกคนต่างรู้สึกกังวลแทนหลี่เชียนขึ้นมาเสียแล้ว
เมื่อราชันแท้จริงได้ครอบครองน้ำพุสัจธรรมแล้ว ก็จะได้ครอบครองสิบสองลัคนา แต่ทว่า สิ่งนี้กล่าวสำหรับ ราชันแท้จริงแล้วมันเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้นเอง เนื่องจากราชันแท้จริงยังคงต้องจุดติดลัคนาแต่ละหลังให้สว่างไสวเสียก่อน ทำให้ลัคนามีพลังที่รวมตัวกัน และไหลเข้าไปในน้ำพุสัจธรรม เพื่อทำให้ตนนั้นเกร่งขึ้น
ดังนั้น เมื่อราชันแท้จริงจุดติดลัคนาได้หนึ่งหลัง ก็จะได้รับการยกย่องว่าเป็นราชันแท้จริงหนึ่งลัคนา!
ราชันแท้จริงหลังจากจุดติดลัคนาทั้งสิบสองลัคนาแล้ว สิบสองลัคนารวมเป็นหนึ่งเดียว น้ำพุแห่งสัจธรรมกับกลายเป็นต้นกำเนิด เมื่อมีต้นกำเนิดสัจธรรมในครอบครองแล้ว หลังจากนั้นก็สามารถสร้างระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิขึ้น และกลายเป็นปฐมบรรพบุรุษ
เวลานี้สามเทพเลือดกำแหงที่อยู่ตรงหน้าอ้างว่าพวกเขาสามพี่น้องอยู่ตรงนี้แล้ว แม้แต่ราชันแท้จริงสามลัคนาก็ไม่กลัว ย่อมสามารถประเมินได้ว่าพวกเขามีความแข็งแกร่งเพียงใดแล้ว
“ระดับเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นเก้า!” หลี่เชียนรู้ถึงระดับความสามารถของสามเทพเลือดกำแหงแล้ว ท่าทีของเขาหนักแน่นจริงจังยิ่งนัก กล่าวสำหรับเขาแล้วศึกนี้ไม่มีโอกาสชนะสำหรับเขา
ตัวเขาในฐานะหัวหน้าของผู้พิทักษ์ เขาไม่เพียงอยู่ในฐานะระดับบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเท่านั้น ยังเป็นระดับบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้พิทักษ์ ถ้าหากแม้แต่ตัวเขายังสู้สามเทพเลือดกำแหงไม่ได้ คนอื่นๆ ยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสามเทพเลือดกำแหงอีกแล้ว
“พวกเจ้าทำหน้าที่เฝ้าพิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมไปก็แล้วกัน เรื่องราวต่างๆ อื่นใดในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอย่าได้ยื่นมือเข้ามาสอดแทรกอีก พวกเราก็จะไม่ไปคิดบัญชีกับพวกเจ้า หาไม่แล้ว จากนี้ไปผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมคงต้องเปลี่ยนตัวแล้วล่ะ” เทพชั่วร้ายเลือดกำแหงกล่าวขึ้นมาช้าๆ
การแสดงจุดยืนของเทพชั่วร้ายเลือดกำแหงทำให้ทุกคนถึงกับอึดอัดหายใจไม่สะดวก ทุกคนจ้องมองไปที่หลี่เชียน ย่อมไม่ต้องสงสัย การตัดสินใจเลือกของหลี่เชียนในเวลานี้เกี่ยวพันถึงชะตาของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทั้งหมด
ดูเหมือนว่าการกลับมาของสามเทพเลือดกำแหงเป็นการบ่งบอกถึงชะตาชีวิตล่วงหน้าของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง เหมือนว่าความชั่วร้ายจะต้องกลับมาปกคลุมระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอีกครั้ง
“เรื่องของหลักการไม่มีความน่าจะเป็นที่จะเจรจากันได้” หลี่เชียนกล่าวน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “วันนี้ ข้ายังจะดำเนินการตามหน้าที่ของข้าต่อไป ให้ปณิธานที่ยังไม่บรรลุผลของอาจารย์ก่อนเสียชีวิตเสร็จสิ้นสมบูรณ์!”
“ดี เช่นนั้นแล้วข้าก็จะสงเคราะห์เจ้า!” เทพชั่วร้ายเลือดกำแหงส่งเสียงฮึน่าเกรงขามออกมา
ทันใดนั้นเอง เสียงตูมดังสนั่นขึ้น ร่างกายของหลี่เชียนดูสว่างไสวไปทั้งร่าง นาทีนี้เสียงดังตูมตามดังขึ้นมาไม่ขาดสาย เหมือนเกิดการสั่นไหวโคลงเคลงไปทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง พริบตาเดียวนั้นเองข้างใต้เท้าของหลี่เชียนปรากฏลวดลายเต๋าขึ้นมา เหมือนหนึ่งว่าพลังสัจธรรมได้ไหลทะลักเข้าไปในตัวของหลี่เชียนดุจดั่งน้ำในมหาสมุทรอย่างนั้น
ทันใดนั้น เสียงกระบี่ยักษ์ส่งเสียงคำรามตึง กระบี่สวรรค์เล่มหนึ่งพลันโผล่ออกมาจากภายในร่างกายของหลี่เชียน กระบี่สวรรค์มีความเจิดจรัสยิ่งนัก และมีพลังที่ปราศจากผู้ต่อกรในหล้า ตัวกระบี่สวรรค์ทั้งเล่มตลบอบอวลไปด้วยพลังที่น่าเกรงขามและไม่มีสิ้นสุดของปฐมบรรพบุรุษ ดูเหมือนว่านาทีนี้หลี่เชียนไม่เพียงแต่คนกับกระบี่ประสานเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น เหมือนว่าเขาได้ประสานเป็นหนึ่งเดียวกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทั้งหมด
“พลังต้นกำเนิดสัจธรรม เสียดายที่เจ้าห่างชั้นกับอาจารย์ของเจ้านัก พลังต้นกำเนิดสัจธรรมที่เจ้าบรรลุมาเป็นเพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง” เทพชั่วร้ายเลือดกำแหงคำรามเสียงยาว ตึงเสียงหนึ่งดังขึ้น กระบี่โลหิตสำแดงอานุภาพรุนแรงขึ้นมา
ในชั่วพริบตาเดียวนั้นเอง กระบี่โลหิตเสมือนดั่งคลื่นที่สาดซัดปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน ทะเลเลือดที่ดั่งคลื่นยักษ์ พลันปรากฏกระบี่โลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่เทลงมาดั่งคลื่นที่บ้าคลั่ง พุ่งเข้าโจมตีหลี่เชียนอย่างรุนแรง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...