ทุกคนต่างมองไปที่หลี่ชิเย่ กล่าวสำหรับศิษย์ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้ว ในเวลานี้ไม่มีอะไรกระหายอยากมากไปกว่าให้หลี่ชิเย่คือบรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพมาจากหุบเหวบรรพชนจริงๆ เวลานี้มีเพียงบรรพบุรุษเท่านั้นที่สามารถต่อต้านกับสามเทพเลือดกำแหงที่อยู่ตรงหน้าได้
“เจ้าหนูที่ต้มตุ๋นหลอกลวง กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นบรรพบุรุษของพวกเรา!” เทพดุร้ายเลือดกำแหงส่งเสียงฮึน่าเกรงขามออกมา
ท่าทางของหลี่ชิเย่นั้นอย่างไรก็ได้สำหรับการตั้งข้อสงสัยของสามเทพเลือดกำแหง เพียงยิ้มนิดหนึ่งและมองพวกเขาสามคนอย่างเย้ยหยัน และกล่าวว่า “แค่สวะกลุ่มหนึ่งเท่านั้น วันๆ คิดแต่จะได้มาโดยไม่ต้องออกแรง สุดยอดสัจธรรมสูงสุดที่ผู้เฒ่ากำแหงทิ้งเอาไว้ให้กับพวกเจ้า กลับไม่รู้จักไปมุมานะบากบั่นเพื่อให้ได้มาซึ่งความแข็งแกร่งและเกรียงไกร เป็นแต่ทำอะไรที่มันนอกลู่นอกทาง ทำให้ปฐมบรรพบุรุษต้องเสียหน้า ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไม่เสื่อมถอยล่ะก็นับว่าสวรรค์ไม่มีความยุติธรรมแล้ว เมื่อมีสวะกลุ่มหนึ่งอย่างเช่นพวกเจ้า”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้สองตาของสามเทพเลือดกำแหงเข้มขึ้น เทพดุร้ายเลือดกำแหงกล่าวเย็นชาขึ้นว่า “เคล็ดวิชาไม่แบ่งสูงส่งหรือต่ำต้อย กฎเกณฑ์ไม่แยกดีหรือเลว!”
“เคล็ดวิชาไม่แบ่งสูงส่งหรือต่ำต้อย กฎเกณฑ์ไม่แยกดีหรือเลวก็ต้องดูว่าคือเคล็ดวิชาอะไร เป็นเคล็ดลับอะไร” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “เฉกเข่น ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ที่พวกเจ้าฝึกนั้น เป็นเพียงวิชานอกรีตที่ไม่เข้าอันดับเท่านั้นเอง ดื่มเลือดคนสักนิด เพิ่มทักษะขึ้นมาสักหน่อยก็ทำเป็นลำพองใจ สวะเช่นนี้ทั้งชาติก็เป็นได้แค่คนป่าเถื่อนที่กินแต่ของดิบที่ไม่รู้จักใช้ไฟปรุงอาหารเท่านั้น ชาตินี้อย่าหวังก้าวขึ้นสูงจุดสูงสุดของสัจธรรมได้เลย! การดำรงคงอยู่ของสวะเช่นพวกเจ้าคือความอัปยศต่อสัจธรรมอย่างหนึ่ง!”
“วาจาสามหาวอวดดียิ่งนัก” เมื่อสามเทพเลือดกำแหงต่างรู้สึกโกรธเคืองยิ่งนักเมื่อหลี่ชิเย่ดูแคลนต่อ ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ของพวกเขา พวกเขาถือว่าเทพแท้จริงเทียนเต๋อคือบุคคลที่เป็นแบบอย่าง มองว่า ‘มารคลั่งดูดเลือด’ คือสุดยอดเคล็ดดวิชาสูงสุด มาวันนี้กลับถูกหลี่ชิเย่ดูแคลนถึงเพียงนี้ แล้วจะไม่ให้พวกเขาต้องโกรธเคืองยิ่งได้อย่างไรเล่า
“ผู้เยาว์ ออกมาสู้กัน” เทพมารเลือดกำแหงก้าวออกมาและร้องเสียงดังขึ้นมา
หลี่ชิเย่เพียงมองดูพวกเขาแวบหนึ่งด้วยท่าทีที่เรียบเฉยยิ่งนัก เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “อาศัยเจ้าเพียงคนเดียวยังไม่พอให้ข้าอุดร่องฟันเลย พวกเจ้าสามคนเข้ามาพร้อมๆ กันเลย”
สีหน้าของสามเทพเลือดกำแหงดูไม่จืดถึงขีดสุดเมื่อถูกหลี่ชิเย่ดูแคลนเช่นนี้ พวกเขาต่างจ้องมองหลี่ชิเย่ ด้วยความโกรธ ชั่วดีอย่างไรพวกเขาก็คือระดับเทพแท้จริง ขั้นสวรรค์ชั้นเก้า ไม่หวั่นแม้กระทั่งราชันแท้จริง นับประสาอะไรกับหลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อไร้เสียงเล่า
“ดี ดี ดี ข้าก็อยากจะรู้นักว่าตัวปลอมอย่างเจ้าจะแน่สักแค่ไหน” เทพชั่วร้ายเลือดกำแหงโกรธจัดจนต้องหัวเราะ และก้าวออกมาเช่นกัน
เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น สามเทพเลือดกำแหงได้ก้าวออกมาพร้อมกัน เสียงตูมดังสนั่น ในพริบตาเดียวนั่นเอง ทะเลเลือดดั่งคลื่นยักษ์ พวกเขาทั้งสามคนเสมือนหนึ่งได้กลายเป็นมนุษย์โลหิตสามคน แม้แต่ช่องว่างก็คล้ายดั่งหลอมละลายไปอย่างนั้น เหมือนเลือดสดๆ ที่กระเพื่อมเป็นระลอก
ในเวลานี้เอง ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เหมือนดั่งได้กลิ่นคาวเลือดสายหนึ่ง โดยกลิ่นคาวเลือดสายนี้ไม่เพียงแสบจมูกเท่านั้น กระทั่งทิ่มแทงเข้าไปถึงจิตวิญญาณ ทำให้ต้องสะท้านขึ้นมา ทำให้ต้องหวาดกลัวจนขนลุกซู่!
ทั่วทั้งฟ้าดินเสมือนดั่งจมอยู่ท่ามกลางทะเลเลือดอย่างนั้น บรรดาผุ้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้สึกว่าอากาศที่สูดหายใจเข้าไปมันเหนียวเหนอะหนะ เหมือนว่าที่สูดดมเข้าไปไม่ใช่อากาศ แต่เป็นเลือดที่เหนียวข้น ความรู้สึกลักษณะเช่นนี้ทำใหคนบางคนอยากจะอาเจียนออกมา
ตึงเสียงหนึ่งดังขึ้น จังหวะที่สามเทพเลือดกำแหงได้กลับกลายเป็นเสมือนหนึ่งทะเลเลือดอย่างนั้น ร่างกายของหลี่ชิเย่เจิดจรัสไปทั่วร่าง ทันใดนั้นเองได้ยินเสียงดังตูม ฟ้าดินกลับกลายเป็นกระบี่ นาทีนี้เองพื้นที่นับแสนลี้ของเขาฟันหลอพลันพวยพุ่งลวดลายเต๋าที่ไม่มีสิ้นสุดขึ้นมา กฎเกณฑ์สัจธรรมแต่ละข้อพวยพุ่งขึ้นไปท้องฟ้า เสมือนดั่งน้ำตกสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง
ได้ยินเสียงตึง ตึง ตึงดังขึ้นมาไม่ขาดสาย กฎเกณฑ์สัจธรรมที่พวยพุ่งขึ้นจากพื้นดินพลันถักทอเข้าด้วยกัน กลายเป็นกระบี่สวรรค์ที่สูงส่งสุดยอด โดยที่กระบี่สวรรค์เล่มนี้ได้พวยพุ่งพลังสัจธรรมที่ไม่ขาดสายออกมา นาทีนี้ดุจดั่งฟ้าดินล้วนแล้วแต่ถูกหลี่ชิเย่นำมาใช้ ภายในกระบี่เล่มนี้ได้บ่มฟักพลังสัจธรรมที่ไร้ขอบเขตของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเอาไว้ ภายใต้หนึ่งกระบี่สามารถพิฆาตเทพมารได้
ขณะที่กระบี่เล่มนี้ปรากฏขึ้นมา ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่บังเกิดอารมณ์อยากจะกราบไหว้ ในเวลานี้ได้มีศิษย์จำนวนไม่น้อยที่พลันคุกเข่าลงกับพื้น และร้องเสียงดังขึ้นมาว่า “ท่านบรรพบุรุษ!”
มองดูกระบี่สวรรค์ที่แขวนอยู่ที่สูงและมีพลังน่าเกรงขามปราศจากผู้ต่อกรในครอบครอง ทำให้สามเทพเลือดกำแหงถึงกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมากทีเดียว นื่คือพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง พลังลักษณะเช่นนี้เป็นพลังของต้นกำเนิดสัจธรรม เป็นของเฒ่ากำแหง ปฐมบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเขา
เมื่อพลังลักษณะเช่นได้กลับกลายเป็นกระบี่สวรรค์ จึงมีความแหลมคมไม่อาจต้านทานได้ สามารถสังหารได้ทุกสิ่ง
ตูม ตูม ตูมพริบตาเดียวนั้นเอง คลื่นโลหิตดั่งคลื่นยักษ์ มองเห็นสามเทพเลือดกำแหงร่วมมือกัน เลือดสดๆ ที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขตถึงกับกลับกลายเป็นมือโลหิตที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ยามที่มือยักษ์นี้ปรากฎขึ้นมานั้นมันแลดูอัปลักษณ์ยิ่งนัก เหมือนว่ามือโลหิตนี้ยื่นออกมาจากนรกอเวจีอย่างนั้น คนที่ขวัญอ่อนเมื่อเห็นแล้วถึงกับต้องเข่าอ่อนทั้งสองข้าง
นาทีนี้ มองเห็นมือขนาดยักษ์นี้ได้คว้าทวนราชันขวางตี้ที่ถูกฝ่ามือกระดูกกำเอาไว้แน่นเล่มนั้น สามเทพเลือดกำแหงต่างคำรามออกมาพร้อมกันว่าขึ้น…
ได้ยินเสียงดังจี๊ด จี๊ด จี๊ดดังขึ้น ทันใดนั้นมือโลหิตขนาดยักษ์ข้างนี้ถึงกับหลอมรวมเข้าฝ่ามือกระดูกนั้น ครั้นมือโลหิตขนาดยักษ์ข้างนี้หายไป ปรากฏว่าฝ่ามือยักษ์ข้างนั้นพลันกลายเป็นสีแดง คล้ายดั่งผ่านการชุบจากเลือดสดๆ มาอย่างนั้น
ภายใต้การควบคุมของสามเทพเลือดกำแหงปรากฎเสียงแว้งค์ดังขึ้น ทันใดนั้นเอง ฝ่ามือกระดูกขาวที่เดิมได้กำทวนราชันขวางตี้เอาไว้แน่นได้กลับกลายเป็นมือโลหิต และมันได้ยกเอาทวนราชันขวางตี้ขึ้นมาทันที
“ทวนราชันขวางตี้!” ทุกคนต่างกลั่นหายใจเมื่อได้เห็นภาพนี้ จังหวะที่ทวนราชันขวางตี้ปรากฎตัวขึ้นมานั้น ตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ และสี่ปราชญ์กองกำลังซั่งก็เคยคิดจะยกเอาทวนราชันขวางตี้เล่มนี้ขึ้นมา แต่ว่า พวกเขากลับไม่สามารถทำให้มันสั่นคลอนได้แม้แต่น้อย โดยทวนราชันขวางตี้เล่มนี้ถูกกุมเอาไว้เสียแน่น เวลานี้กลับถูกสามเทพเลือดกำแหงอาศัยวิธีนี้ยกขึ้นมาได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...