ใช่เพียงแต่สามเทพเลือดกำแหงเท่านั้นที่รู้สึกแปลกใจ ความจริงแล้วทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็รู้สึกแปลกใจว่า กระบี่เซียนพิโรธที่อยู่ในมือนั้น หลี่ชิเย่ไปได้มาจากที่ไหนกัน
หลี่ชิเย่ทำท่าสะบัดกระบี่เซียนพิโรธในมือตามอารมณ์ไปทีหนึ่ง ปรากฏอานุภาพบรรพบุรุษดั่งคลื่นยักษ์ แม้แต่ฟ้าดินก็ยังโคลงแคลงสั่นไหวไปทีหนึ่ง กล่าวไปตามอารมณ์ว่า “เจ้าหมายถึงกระบี่เล่มนี้หรือเนี่ย อ๋อ เก็บได้จากพื้น เห็นว่ามันเหมาะมือดีก็เลยเอามาใช้เท่านั้นเอง”
คำพูดที่พูดออกมาตามอารมณ์ยิ่งของหลี่ชิเย่ พลันทำให้ทุกคนแทบจะกระอักเลือดออกมา นี่มันกระบี่เซียนพิโรธเลยนะเนี่ย เป็นกระบี่ยักษ์ที่ทรงพลังมากที่สุดของผู้เฒ่ากำแหงของพวกเขา เมื่อออกจากปากของหลี่ชิเย่แล้วมันช่างพูดได้เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นเพียงเก็บได้มาจากพื้น
กระบี่เซียนพิโรธลักษณะเช่นนี้อย่าว่าแต่ไปอยู่ในมือของคนใดคนหนึ่ง ต่อให้ตกไปอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ก็ต้องกลายเป็นของวิเศษประจำสำนัก เรียกได้ว่าในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไม่มีอาวุธเล่มไหนสามารถเทียบเคียงกับกระบี่เซียนพิโรธได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านอานุภาพหรือฐานะก็เทียบกันไม่ได้
ไม่ว่ากระบี่เซียนพิโรธจะตกไปอยู่ในมือคนหนึ่งคนใดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ตาม ก็ต้องเป็นของล้ำค่ายิ่งนัก กระทั่งมีค่าน้อยไปกว่าชีวิตน้อยๆ ของตนเสียอีก แต่ว่า ท่าทางของหลี่ชิเย่ที่มีต่อกระบี่เซียนพิโรธเหมือนอย่างไรก็ได้ ซึ่งทุกคนไม่รู้ว่าควรจะหาคำพูดใดมาเปรียบเปรย
แน่นอน กระบี่เซียนพิโรธเล่มนี้หลี่ชิเย่ก็ไม่ได้เก็บได้จากพื้น มันคือของสะสมส่วนตัวของผู้เฒ่ากำแหง เพียงแต่ถูกหลี่ชิเย่กวาดมาจนหมดเท่านั้น
“เข้ามาเลย ข้าก็จะไม่แย่งชิงทวนราชันขวางตี้ของเจ้าอีกแล้ว ดูสิว่าพวกเจ้าสามารถสำแดงอานุภาพออกมาได้กี่ส่วน” กระบี่เซียนพิโรธในมือหลี่ชิเย่ชี้ออกไป และกล่าวด้วยท่าทีตามอารมณ์ยิ่ง
เวลานี้ มือโลหิตกำทวนราชันขวางตี้เอาไว้ โดยมีสามเทพเลือดกำแหงควบคุมร่วมกัน แต่ทว่าในขณะนี้พวกของสามเทพเลือดกำแหงต่างมีสีหน้าที่ซีดเผือด ถ้าหากในขณะที่หลี่ชิเย่ไม่ได้มีกระบี่เซียนพิโรธในมือเช่นตอนนั้น พวกเขามีความมั่นใจที่เด็ดขาดว่าสามารถสังหารหลี่ชิเย่ได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าเขาจะเป็นบรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ตามอ้าง หรือสามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ช่าง อาศัยศักยภาพพวกเขาที่เป็นระดับเทพแท้จริง ขั้นสวรรค์ชั้นที่เก้า บวกกับทวนราชันขวางตี้แล้ว ไม่ว่าใครก็ขวางไม่ได้ พานพบเทพสังหารเทพ พบเจอพระเข่นฆ่าพระ
แต่ทว่า เวลานี้หลี่ชิเย่ถือกระบี่เซียนพิโรธอยู่ในมือ ทำให้ความได้เปรียบของพวกเขาเลือนหายไปจนไม่เหลืออะไรเลยในทันที
ในเวลานี้ สามเทพเลือดกำแหงมองตากันและกัน สองมือพวกเขาประสานกันพลันทำเป็นท่ามุทรา คำรามเสียงยาวขึ้นมาว่าเรียกวิญญาณ…
ตูม ตูม ตูม…นาทีนี้เอง พวกของสามเทพเลือดกำแหงได้พวยพุ่งลมปราณทั้งตัวของพวกเขาออกมาจนหมด ลมปราณของพวกเขาดั่งน้ำตกสวรรค์ที่พุ่งขึ้นบนท้องฟ้าอย่างรุนแรง แต่ตามติดด้วยเสียงดังช่าาาลมปราณที่พวกเขาได้พวยพุ่งขึ้นไปนั่นก็พุ่งลงไปในหลุมยักษ์ พุ่งลงไปยังน้ำเลือดในทันที
ในขณะเดียวกัน ได้ยินเสียงดังแว้งค์ดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง ใต้เท้าของสามเทพเลือดกำแหงปรากฎเป็นค่ายกลประกายดาวโผล่ขึ้นมา ส่งประกายเลือดแวบวับ อักขระยันต์ที่ไม่สิ้นสุดพลิกและม้วนตัวไปมาภายในค่ายกลประกายดาว
หลังจากที่ค่ายกลประกายดาวได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว สามเทพเลือดกำแหงต่างทำมือทำมุทรา ปากท่องบ่นคาถางึมงำฟังไม่ได้ศัพท์ เหมือนกำลังเรียกอะไรบางสิ่งบางอย่างให้ออกมาอย่างนั้น
คร๊ากก คร๊ากก คร๊ากกในขณะนี้บริเวณเขาทิ้งกระดูกลูกนั้นที่ไกลออกไปด้านนอกสำนักพระราชวัง ภูเขาลูกนั้นถึงกับแยกออก สุดท้ายได้ยินเสียงตูมดังสนั่น ภูเขาทั้งลูกก็ได้พังทลายลงมา ศิลาจารึกที่แต่เดิมตั้งอยู่ก็ล้มลงมาทันทีเช่นกัน
ในเวลานี้ มองเห็นมือกระดูกขนาดยักษ์ข้างหนึ่งยื่นออกมา จากนั้นตามมาด้วยเสียงพังครืนลงดังตูม ตูม ตูม ในเวลานี้เอง เข้าทิ้งกระดูกที่พังครืนลงปรากฏโครงกระดูกโครงหนึ่งที่คลานออกมา โครงกระดูกโครงนี้มีโครงสร้างขนาดสูงใหญ่มาก โครงกระดูกโครงนี้แขนข้างขวาขาดหายไป โดยแขนข้างนี้ถูกคนเขาตัดขาดไป
แย่แล้ว…เวลานี้หลี่เชียนเป็นคนแรกที่มองไปทางเขาทิ้งกระดูกและมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เมื่อมองเห็นเขาทิ้งกระดูกนั่น
ระดับบรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณบางส่วนก็รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลง พวกเขาทยอยกันมองไปที่เขาทิ้งกระดูก เมื่อมองจากระยะห่างไกลแล้ว ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่หวาดผวาจนหน้าถอดสี เมื่อมองเห็นยอดเขาที่หักโค่นลงมาแล้วนั้น
ปังเสียงหนึ่งดังขึ้น หลังจากที่โครงกระดูกโครงนี้ลุกขึ้นมาแล้ว เบ้าตาของมันถึงกับปรากฏประกายโลหิตที่แลบออกมา เหมือนหนึ่งว่ามันได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาทันทีอย่างนั้น
ท่ามกลางเสียงดังปังเสียงนี้ โครงกระดูกนี้พลันก้าวข้ามช่องว่าง ถึงกับก้าวเพียงก้าวเดียวก็ได้มายืนอยู่บนหลุมยักษ์ในเขาฟันหลอแล้ว
“นี่มันคืออะไรกันแน่…” ไม่รู้ว่าผู้คนจำนวนเท่าไรที่ตกใจจนกระโดดตัวลอย เมื่อมองเห็นโครงกระดูกลักษณะเช่นนี้ลงมาจากท้องฟ้า โดยเฉพาะโครงกระดูกนี้แขนขาดไปข้างหนึ่ง ทุกคนต่างตกใจจนไม่สามารถสงบจิตได้ และไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร
เสียงขลุกดังขึ้นเสียงหนึ่ง ในเวลานี้เองน้ำเลือดที่อยู่ภายในหลุมยักษ์กลับมีคนผู้หนึ่งโผล่ขึ้นมา ดูเหมือนจะเป็นภูติที่เกิดขึ้นมาจากน้ำเลือด ไม่มีตาไม่มีจมูกมีเพียงรูปร่างของคนเท่านั้น ร่างกายทั้งร่างแลดูเป็นน้ำเลือดที่เหนียวเหนอะหนะ มันคือร่างกายที่ประกอบขึ้นมาจากน้ำเลือดอย่างสิ้นเชิง
ทุกคนถึงกับขนลุกขนพอง และสั่นเทิ้มขึ้นมา เมื่อปรากฏภูติโลหิตที่โผล่ขึ้นมาจากน้ำเลือดเช่นนี้
ภายในเสี้ยววินาทีนี้เอง ภูติโลหิตที่โผล่ขึ้นมาจากน้ำเลือดกลับรวมตัวซ้อนเข้าด้วยกันกับโครงกระดูกโครงนั้น จากนั้นตามติดด้วยเสียงดังจี๊ด จี๊ด จี๊ดขึ้นมา ภูติโลหิตและโครงกระดูกได้รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวเสร็จสมบูรณ์
ตูม…เสียงดังสนั่นเกิดขึ้น เมื่อภูติโลหิตได้รวมตัวกันโดยสมบูรณ์กับโครงกระดูกแล้ว ปรากฎร่างที่สูงใหญ่ต่อหน้าคนทุกคน เป็นเทพแท้จริงที่ยืนหยัดท่ามกลางฟ้าดิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...