ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 2206

สรุปบท ตอนที่ 2206 หวู่ปิงหนิง: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

สรุปตอน ตอนที่ 2206 หวู่ปิงหนิง – จากเรื่อง ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล โดย Internet

ตอน ตอนที่ 2206 หวู่ปิงหนิง ของนิยายActionเรื่องดัง ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

หลังจากที่หลี่เชียนได้ส่งพวกระดับบรรพบุรุษอย่างนักบวชหยางหมิงจากไปแล้ว หลี่ชิเย่สะบัดมือไปตามอารมณ์ ได้ยินเสียงดังตึง ตึง ตึงดังขึ้น มองเห็นกฎเกณฑ์ปฐมบรรพบุรุษที่พันธนาการบนตัวของผู้หญิงคนนั้นคลายออก คืนอิสรภาพให้กับนาง

ผู้หญิงคนนี้จ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความหวาดผวาสงสัยและไม่อาจสงบจิตลงได้ นางไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าหลี่ชิเย่จะคืนความอิสรภาพให้กับตนเช่นนี้

“ซือจิ้ง จัดที่พักให้กับนาง ต้อนรับแขกให้ดี” หลี่ชิเย่สั่งการไปตามอารมณ์กับจูซือจิ้งที่ยืนอยู่ด้านหลัง

ผู้หญิงคนนี้จ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ นางไม่ได้คลายความระมัดระวังตัวที่อยู่ในใจ และกล่าวว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“ข้าจะไปทำอะไรได้?” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “หรือว่าข้าสามารถจับเจ้ากินเสียอย่างนั้นรึ? ต่อให้เป็นตัวประกันก็ต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ของตัวประกัน หรือว่าข้าต้องจับเจ้ามัดเอาไว้ตลอดเวลาอย่างนั้นรึ?”

“ใครจะไปรู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่” ผู้หญิงคนนี้ส่งเสียงฮึเย็นชาออกมาเบาๆ และกล่าวว่า “ไม่แน่นักในใจของเจ้าอาจมีแผนการอยู่ก็ได้ ฮึ คนของพรรคมารเช่นพวกเจ้าไม่แน่ว่าสามารถไว้ใจได้”

“ข้าสามารถวางแผนอะไรกับตัวเจ้าได้ล่ะ?” หลี่ชิเย่พิจารณาผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ยิ้มกล่าวว่า “พูดถึงเรื่องหน้าตามันก็แค่พื้นๆ เท่านั้นเอง มาเป็นนังหนูอุ่นเตียงให้กับข้าก็ฝืนเหลือเกิน เจ้าว่าข้ายังจะมุ่งหวังอะไรตัวเจ้าได้? ข้าคงไม่ถึงขั้นหิวโซถึงขนาดกินไม่เลือกกระมัง”

“เจ้า…” ใบหน้าของผู้หญิงพลันแดงก่ำและจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นัยน์ตาของนางแทบจะพ่นเป็นเพลิงแห่งความโกรธออกมาแล้ว

ไม่ว่าผู้หญิงไหนๆ ก็ต้องใส่ใจในรูปโฉมของตน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางทีเดิมก็คือสุดยอดหญิงงามในหล้าที่อยู่ตรงหน้า แม้ว่าหวู่ปิงหนิงจะไม่ใช่สาวงามอันดับหนึ่งของแดนลัทธิพรรษ แต่ว่า ชั่วดีอย่างใดนางก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของจูเซียงหวู่ถิง บุรุษที่หลงใหลในตัวของนางไม่รู้ว่ามีจำนวนอยู่เท่าใด

เรียกได้ว่านางมั่นใจเต็มเปี่ยมในรูปโฉมของตนเลยทีเดียว และมีความสำรวมอยู่สามส่วน มาวันนี้หลี่ชิเย่ถึงกับบอกว่านางมีหน้าตาพื้นๆ กระทั่งมีท่าทีที่รังเกียจด้วยซ้ำ แล้วจะไม่ในนางโกรธจนเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไร

“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าปากเหม็นมาก!” ผู้หญิงที่ชื่อหวู่ปิงหนิงถึงกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและเอ่ยขึ้น

หากไม่เป็นเพราะตกอยู่ในฐานะของนักโทษ ไม่แน่นักนางอาจจะแยกเขี้ยวกางเล็บลุยเข้าไป จะต้องฉีกปากเหม็นๆ ของหลี่ชิเย่ให้กระจุยแน่นอน

“เจ้าไม่เคยได้ชิม แล้วรู้ได้อย่างไรว่าปากข้าเหม็น?” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “หรือว่าเจ้าอยากจะลิ้มลองอย่างนั้นรึ?”

“เจ้าคนวิปริต…” หวู่ปิงหนิงพลันถูกยั่วโมโหจนแทบกระอักเลือด ใบหน้าแดงก่ำ คล้ายดั่งทาลิปติกอย่างนั้น นางถูกหลี่ชิเย่ยั่วโมโหจนตัวสั่นเทา

ครั้นหลี่ชิเย่มองเห็นนางที่โมโหจนตัวสั่นเช่นนั้นถึงกับพูดหยอกไปว่า “ต่อให้ข้าวิปริตมากไปกว่านี้ ก็จะไม่ยื่นมือของข้าไปหาเจ้า เจ้ามันแห้งเกินไป คนอย่างข้าชอบเลือกแต่ที่มีประโยชน์ต่อข้า” กล่าวพลางพิจารณานางตั้งแต่หัวจรดเท้า ท่าทางเหมือนกำลังพิจารณาว่าควรจะเลือกลงมือตำแหน่งไหนบนตัวก่อนดี

“จิตวิปริต…” หวู่ปิงหนิงรู้สึกขนลุกซู่ในใจ นางรู้สึกเหมือนตัวเองนั้นเปลือยกายล่อนจ้อนเมื่ออยู่ภายใต้สายตาของหลี่ชิเย่ เหมือนว่าตัวเองไม่ได้สวมใส่อะไรเลยถูกเขามองเห็นจนทะลุปรุโปร่ง ตกใจจนต้องกระโดดหนีและเอี้ยวตัวเพื่อหลบหลีกสายตาของหลี่ชิเย่

จูซือจิ้งที่อยู่ด้านข้างถึงกับเม้มปากหัวเราะเบาๆ เมื่อได้เห็นหลี่ชิเย่พูดจาแทะโลมหวู่ปิงหนิง

“เอาล่ะ หยอกเจ้าเล่นเท่านั้น” หลี่ชิเย่หัวเราะและโบกมือสั่งการกับจูซือจิ้งว่า “สั่งการให้ศิษย์ในสำนักดูแลแขกให้ดีๆ”

“แม่นาง ตามข้ามาเถอะ” จูซือจิ้งรีบกล่าวต่อหวู่ปิงหนิง

ขณะที่หวู่ปิงหนิงกำลังเดินจากไปได้ส่งเสียงฮึแสดงความไม่พอใจออกมา จ้องมองหน้าหลี่ชิเย่อย่างนักเลง หากไม่เป็นเพราะต้องอาศัยอยู่ใต้ชายคาจำเป็นต้องอ่อนข้อให้ล่ะก็ นางจะต้องแลกกับเจ้าคนวิปริตนี้อย่างแน่นอน

“นั่นสิ ลืมบอกเจ้าไปเรื่องหนึ่ง” จังหวะที่หวู่ปิงหนิงกำลังติดตามจูซือจิ้งเดินจากไปอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้ยิ้มแต้กล่าวว่า “อย่าได้คิดก่อเรื่องในถิ่นของข้า หรือคิดหาทางที่จะหนีไป เกิดทำให้ข้าโกรธขึ้นมาล่ะก็ ข้าจะจับเจ้าแก้ผ้าล่อนจ้อนแล้วไปแขวนเอาไว้ด้านนอกของราชสำนัก ดังนั้น เจ้าจะทำตัวเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายหรือไม่คิดเอาเองก็แล้วกัน”

คำพูดเชิงข่มขู่ของหลี่ชิเย่ทำเอาหวู่ปิงหนิงโกรธจนคันปาก นางส่งเสียงฮึออกมาแล้วไม่ได้อะไรอีก เดินตามจูซือจิ้งจากไป

หลังจากที่หลี่เชียนได้ส่งพวกของนักบวชหยางหมิงจากไปแล้ว ได้กลับมาพบกับหลี่ชิเย่

“อีกไม่กี่วันข้าก็จะไปจาก” หลี่ชิเย่สั่งการกับหลี่เชียนว่า “อนาคตของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ต้องอาศัยพวกเจ้าเองแล้ว”

“ท่านบรรพบุรุษจะจากไปแล้วรึ?” หลี่เชียนถึงกับตระหนกและเอ่ยขึ้น

“ถูกต้อง ถึงเวลาต้องไปแล้ว” หลี่ชิเย่หัวเราะและมองไปที่ระยะห่างไกล แน่นอน การมาที่แดนสามเซียนของเขาในครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง

การได้มาที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงนับว่าเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง และถือโอกาสให้ผลกรรมระหว่างเขากับตาเฒ่าสิ้นสุดลง

“เรื่องนี้” หลี่เชียนถึงกับเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “หากท่านบรรพบุรุษไม่สะดวก ให้ศิษย์ไปแทนบท่านบรรพบุรุษสักครั้ง เพื่อขอโทษต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแต่ละแห่งก็ได้”

หลี่ชิเย่มองดูหลี่เชียนแล้วถึงกับหัวเราะขึ้นมา ยิ้มกล่าวว่า “นี่เจ้ากังวลในความปลอดภัยของข้า หรือว่าเป็นกังวลให้กับบรรดาเหล่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิต่างๆ กันแน่เล่า”

หลี่เชียนแสดงท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อหลี่ชิเย่พูดแทงใจดำเข้าให้ ได้แต่หัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวด้วยท่าทีผะอืดผะอมว่า “ศิษย์ยินดีแบ่งเบาภาระให้กับท่านบรรพบุรุษ”

หลี่เชียนก็พูดออกมาตามตรงว่า “สิ่งนี้เป็นเพียงความอยากรู้อยากเห็นของศิษย์เท่านั้นเอง ราชันแท้จริง ปฐมบรรพบุรุษล้วนแล้วแต่มีที่พักพิงสุดท้ายเป็นที่ใดล่ะ? ขอท่านบรรพบุรุษโปรดชี้แนะทางสว่างให้ด้วย”

ความจริงแล้ว ปัญหาข้อนี้ใช่เพียงแต่หลี่เชียนเท่านั้นที่รู้สึกแปลกใจ ผู้คนจำนวนมากต่างก็แปลกใจ เนื่องจากกาลเวลาที่เคลื่อนผ่านไป ราชันแท้จริง และหรือปฐมบรรพบุรุษของทุกยุคทุกสมัยก็ต้องค่อยๆ หายตัวไปอย่างช้าๆ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไปอยู่ ณ ที่ใด บางคนบอกว่าพวกเขาได้แก่ตายไปแล้ว บ้างก็บอกว่าพวกเขาได้ไปยังสถานที่ที่ห่างไกลมากไปกว่านี้ ด้วยการมีที่พักพิงสุดท้ายที่ผู้คนบนโลกไม่รู้

กระทั่งมีผู้คนลังเลว่า บนโลกนี้ยังคงมีสถานที่อยู่ที่หนึ่ง สถานที่แห่งนั้นมีชื่อว่าแดนอมตะ แหล่งสุดท้ายที่พวกของราชันแท้จริง ปฐมบรรพบุรุษไปก็คือสถานที่เช่นนี้ อยู่ในแดนอมตะเช่นนี้ไม่ตายไม่ดับ

“ถ้าหากเจ้ายังก้าวไปไม่ถึงความสูงระดับนั้น รู้ไปแล้วจะเป็นเช่นใด? มันแค่เพิ่มความทุกข์โดยไม่จำเป็นเท่านั้น จงก้าวเดินไปทีละก้าวๆ เถอะ ถ้าหากเจ้าสามารถก้าวไปถึงระดับอมตะ บางทีเจ้าอาจจะมีสิทธิ์ได้รู้บ้างนิดหนึ่งสักวัน” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย

หลี่ชิเย่มีความทรงจำในครอบครองเป็นจำนวนมาก ยิ่งกว่านั้นยังได้อ่านตำราที่เป็นประวัติศาสตร์ ความลับดึกดำบรรพ์มาจำนวนนับไม่ถ้วน สิ่งที่รู้อยู่ในใจยิ่งใหญ่ไพศาลมาก โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับที่พักพิงสุดท้ายบางอย่างของแดนสัทธิสามเซียน เขามีเค้าโครงอยู่ในใจมานานมากแล้ว

“ศิษย์จะจดจำให้มั่น” หลี่เชียนโค้งคำนับอย่างลึกซึ้ง สุดท้ายได้เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “หากท่านบรรพบุรุษได้พบเจอกับท่านปฐมบรรพบุรุษ ช่วยเรียนท่านว่าลูกหลานที่เป็นชนรุ่นหลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงขอแสดงความคารวะและความห่วงใยต่อท่าน”

“พูดเช่นนี้ แสดงว่าเจ้าคิดว่าผู้เฒ่ากำแหงยังมีชีวิตอยู่น่ะสิ?” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะออกมา

“การกระทำของท่านปฐมบรรพบุรุษไหนเลยพวกเราสามารถคาดการณ์ได้” หลี่เชียนยิ้มเจื่อนๆ ได้แต่พูดเช่นนี้

สิ่งนี้ใช่เพียงแต่หลี่เชียนเท่านั้นที่สงสัย ความจริงแล้ว ปรัชญาเมธีจำนวนมากกระทั่งราชันแท้จริงก็เคยสังสัย

เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมา ปฐมบรรพบุรุษของแดนสามเซียนล้วนแล้วแต่ไร้ร่องรอย ไม่มีใครรู้ว่าปฐมบรรพบุรุษเหล่านั้นของแดนสามเซียนไปไหน

แต่หนึ่งเดียวที่น่าสนใจก็คือ ผู้เฒ่ากำแห่งถึงกับบอกกล่าวต่อลูกหลานของตนว่า ตัวเองนั้นฝังร่างอยู่ในหุบเหวบรรพบุรุษ สักวันหนึ่งจะต้องสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมา และกลายเป็นเซียน

สิ่งนี้แหละที่คู่ควรให้ชนรุ่นหลังไปคิดอย่างรอบคอบ ชนรุ่นหลังจำนวนมากต่างเข้าใจว่าผู้เฒ่ากำแหงไม่ได้ตาย

สำหรับการคาดการณ์ของหลี่เชียนนั้น หลี่ชิเย่เพียงหัวเราะทีหนึ่งเท่านั้นโดยไม่ได้เฉลย

……………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล