หวู่ปิงหนิงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง เมื่อได้ฟังคำเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้ว เงยหน้าขึ้นจ้องไปที่หลี่ชิเย่ทีหนึ่ง และกล่าวว่า “แบบนี้ก็ถือเป็นการล้างสมองให้กับข้า!” คำพูดนี้ฟังดูเหมือนเป็นการบ่นโทษคนอื่น แต่ท่ามกลางสิ่งนี้กลับมีลักษณะของจริตแสร้งว่าโกรธอยู่เจ็ดส่วน
“ล้างสมองก็ล้างสมองก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “ต่อให้เป็นการล้างสมอง เจ้าก็ชอบการล้างสมองลักษณะเช่นนี้”
หวู่ปิงหนิงส่งเสียงฮึขึ้นมาเบาๆ แต่ภายในจิตใจของนางรู้สึกอบอุ่น ในเวลานี้จิตใจดวงนั้นที่เย็นชาของนางถึงกับหลอมละลาย นี่เป็นความมหัศจรรย์สิ่งหนึ่งที่งดงามยากจะหาใดเทียม ทำให้ผู้คนอดที่จะไปอิงแอบไม่ได้ ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ต้องไปชิดใกล้ นับว่าทำให้ผู้คนหลงใหลยิ่งเหลือเกิน
“โลกนี้ยากเข็ญยิ่ง เจ้ายังมีหนทางที่ยาวไกลมากต้องไปก้าวเดิน แต่ว่า ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถก้าวเดินออกไปได้อยู่แล้ว” หลี่ชิเย่ ลูบไล้ที่หน้าผากของนางเบาๆ
หวู่ปิงหนิงถึงกับพยักหน้าเบาๆ ในพริบตาเดียวนี้เอง จิตใจของนางดูจะเบิกบานขึ้นมากทีเดียว สิ่งที่สร้างความกังวลใจรบกวนนางมาโดยตลอดก่อนหน้านั้นได้จางหายไปในชั่วพริบตาเดียว ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเมฆและควันที่จางหายไป ทุกสิ่งดูจะเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่ไม่คู่ควรจะกล่าวถึงอะไรอย่างนั้น
ชั่วพริบตาเดียวนี่เอง เรื่องเช่นนี้ไม่รบกวนนางอีกต่อไป ความกังวลที่เคยรบกวนนางนั้นเวลานี้ช่างไร้ค่าที่จะกล่าวถึง ที่นางกระหายอยากยิ่งกว่าคือการก้าวเดินไปข้างหน้า กระหายอยากในการคาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดในอนาคตมากกว่า
“ข้ายินดีไปทำ และยินดีใช้ความพยายาม” หวู่ปิงหนิงถึงกับกำหมัด ขณะที่ความคิดที่อยู่ในใจกลับกลายเป็นมั่นคงยิ่งขึ้น นาทีนี้ สำหรับอนาคตแล้วนางมองไปได้ไกลยิ่งกว่า และมองได้ชัดเจนยิ่งกว่า
เนื่องจากนาทีนี้นางรู้แล้วว่าตนเองนั้นต้องการอะไร นาทีนี้นางเข้าใจแล้วว่าตัวเองสมควรไปทำสิ่งใด ดังนั้นกล่าวสำหรับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ต่อให้นางต้องไปแบกรับความกดดันที่มากมายอีกเท่าไรก็ตาม แต่ว่านางก็จะยืนหยัดปณิธานของตนก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง นางยินดีติดตามผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้
“จะเป็นแดนลัทธิพรรษก็ดี แดนลัทธิราชันก็ช่าง ต่อให้เป็นแดนลัทธิเซียนก็ไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงเจ้าสามารถก้าวเดินไปถึงขั้นนั้น ในเวลานั้น ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่ทะเลกว้างท้องนภาสูง มีข้าอยู่ทั้งคน จะเป็นกำหนดอะไร ปณิธานอะไรล้วนแล้วแต่ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
“ข้ารู้” ดวงตาคู่นั้นของหวู่ปิงหนิงพลันกลับกลายเป็นมั่นคงขึ้นมาโดยพลัน แววตาที่เกาะรวมตัวกัน นาทีนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถสั่นคลอนต่อการตัดสินใจของนางอีกแล้ว
“คุณชายออกจะลำเอียงไปหน่อยนะ” เวลานี้หวังหานได้นำผลไม้ที่ผ่านการปอกเปลือกแล้วลูกหนึ่งป้อนเข้าปากของหลี่ชิเย่ เหมือนพูดตัดพ้อขึ้นมาว่า “น้องชิงหลินก็มีพลังแฝงอยู่นะ สมควรที่คุณชายจะได้บ่มฟักน้องชิงหลินบ้าง”
หวังหานกำลังพูดแทนฉู่ชิงหลิน เวลานี้พวกของหวังหานต่างมองออกว่าหลี่ชิเย่มีความคิดที่จะบ่มฟักหวู่ปิงหนิง ในเวลานี้ หวังหานจึงพยายามให้ได้มาเพื่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงบ้าง
จะอย่างไรเสียตัวของฉู่ชิงหลินก็มีกำลังแฝงเช่นกัน ในฐานะบุคคลอันดับหนึ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง พรสวรรค์ของฉู่ชิงหลินนั้นไม่มีสิ่งใดให้ตำหนิติเตียนได้ ที่สำคัญมากกว่าก็คือ ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นฉู่ชิงหลินกับหวังหานนั้นมีมิตรภาพที่ลึกล้ำมาก แม้ว่าฉู่ชิงหลินจะมีชาติกำเนิดมาจากค่ายฉู่ แต่ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วฉู่ชิงหลินยังคงยืนอยู่ข้างหวังหานเสมอ และเป็นแนวร่วมเดียวกันกับนาง โดยเฉพาะเรื่องใหญ่หลายๆ เรื่องของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง แนวคิดของฉู่ชิงหลินกับนางล้วนแล้วแต่ตรงกันเป็นเอกฉันท์
แล้วเหตุใดหวังหานจะไม่ใช้โอกาสนี้ช่วงชิงให้ได้มาเพื่อฉู่ชิงหลินกันเล่า จะอย่างไรเสียในอนาคตหากฉู่ชิงหลินได้กลายเป็นราชันแท้จริงแล้วล่ะก็ ยังคงมีหนทางอีกยาวไกลที่ต้องก้าวเดิน โดยเฉพาะหากฉู่ชิงหลินต้องการจะเป็นปฐมบรรพบุรุษในอนาคตล่ะก็ ยิ่งมีความต้องการบรรพบุรุษอย่างหลี่ชิเย่มาช่วยเหลืออีกแรง
กล่าวสำหรับหวังหานแล้ว ยิ่งฉู่ชิงหลินมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งสามารถช่วยเหลือนางได้อีกแรงในอนาคตในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
ฉู่ชิงหลินเองนับเป็นผู้ที่อวดดีว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา แม้รู้อยู่เต็มอกว่าหลี่ชิเย่มีใจต้องการบ่มฟักนาง แต่ทว่า ในใจของนางมักจะมีความระมัดระวังตัวอยู่หลายส่วน และไม่ยอมเอ่ยปากออกมาเท่านั้นเอง
ด้วยเหตุนี้เอง หวังหานจึงต้องพยายามช่วงชิงโอกาสให้กับฉู่ชิงหลิน
คำพูดของหวังหานทำให้ใบหน้าฉู่ชิงหลินแดงก่ำขึ้นมา นางก้มหน้าลงนิดหนึ่ง มองดูตำราที่อยู่ในมือ
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา ส่ายหน้าเบาๆ ขณะมองดูฉู่ชิงหลิน และกล่าวว่า “นี่หาใช่ข้าลำเอียง อนาคตของชิงหลินก็ไร้ขอบเขตจำกัด เพียงแต่นางกับปิงหนิงมีข้อแตกต่างกันเท่านั้น การที่ชิงหลินก้าวเดินไปตามเส้นทางของผู้เฒ่ากำแหงไปเรื่อยๆ ต่อให้ไม่สามารถแซงล้ำหน้าผู้เฒ่ากำแหงได้ แต่ว่า การก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในอนาคตใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
“ส่วนปิงหนิงนั้นแตกต่างกัน บางทีในอนาคตนางอาจจะสามารถหลุดพ้นไปได้ จะอย่างไรเสียมีเรื่องราวมากมายที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของนาง” หลี่ชิเย่ยิ้มและจ้องมองดูหวังหาน และกล่าวว่า “แต่ ชิงหลินได้รับการช่วยเหลืออย่างสุดกำลังจากเจ้า ข้าเชื่อว่าจากสองประสานของพวกเจ้าในอนาคต จะต้องสร้างความโชติช่วงชัชวาลให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้อย่างแน่นอน”
“หากมีวันนั้นจริงๆ วันที่ชิงหลินสามารถก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้วคิดจะหลุดพ้นจากตรงนั้น บางทีนางก็อาจได้เห็นเส้นทางที่ข้าเคยเตือนและชี้แนะเอาไว้ ข้ากำลังรอวันนั้นมาถึง บนเส้นทางของผู้เฒ่ากำแหงในวันนี้ ชิงหลินสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าโดยลำพัง ไม่จำเป็นต้องให้ข้าไปสอดแทรก” หลี่ชิเย่กล่าวพลางหันมองไปที่ฉู่ชิงหลิน
ฉู่ชิงหลินเงยหน้า ดวงตาที่สดใสมองดูหลี่ชิเย่แวบหนึ่ง และกล่าวว่า “ข้าจะไม่ทำให้คุณชายต้องผิดหวัง ข้าจะต้องพยายามมากกว่านี้” กล่าวพลาง แววตาของนางกลับกลายเป็นมั่นคงยิ่งขึ้น
“ข้าเชื่อ” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มที่เมินเฉยออกมา
“ไปเถอะ ไปเตรียมตัวให้พร้อม ได้เวลาพวกเราต้องไปจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้แล้ว” สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้สั่งการกับหวู่ปิงหนิงออกไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...