“ว้าว ว้าว ว้าวข้ายังไม่ทันได้แนะนำให้พวกเจ้าทั้งสองได้รู้จักกันเลย พวกเจ้าสองคนก็มาจู๋จี๋กันที่นี่ซะแล้ว” ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา พลันปรากฏเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น
ในเวลานี้ ไม่รู้ว่าฟ่านเมี่ยวเจินพลันโผล่มาจากที่ใด หัวเราะและพูดจาหยอกล้อต่อหลี่ชิเย่ กับฉินซาวเย่า ในขณะนี้สีหน้าของนางบ่งบอกถึงความเจ้าเล่ห์และความคลุมเครืออยู่เต็มใบหน้า เหมือนว่าระหว่างหลี่ชิเย่กับฉินซาวเย่าได้ทำเรื่องที่ไม่สามารเปิดเผยต่อผู้คนได้อย่างนั้น
เทียบกับฟ่านเมี่ยวเจินที่เจ้าเล่ห์และจอมแก่นแล้ว หน้าของฉินซาวเย่าดูจะบางกว่ากันมากทีเดียว นางพลันมีใบหน้าที่แดงก่ำและรู้สึกเขินอาย และกล่าวว่า “ศิษย์พี่ มาแกล้งคนอื่นอีกแล้ว”
ท่าทีของฟ่านเมี่ยวเจินดูจะสบายอกสบายใจ หัวเราะน่ารักและกล่าวแนะนำต่อหลี่ชิเย่ว่า “ซาวเย่าคือศิษย์น้องของหุบเขาร้อยบุปผาของพวกเรา ใครเห็นใครรัก บุปผาพานพบต้องเบ่งบาน ศิษย์พี่ใหญ่ห้ามรังแกนางเชียวนะ หาไม่แล้วพวกเราล้วนไม่ยอมนะจะบอกให้”
หลี่ชิเย่ได้แต่หัวเราะและส่ายหน้า สำหรับฟ่านเมี่ยวเจินที่แก่นแก้วเช่นนี้
“ทว่า คำพูดของน้องซาวเย่านั้นมีเหตุผล ฝีมือด้านวิชายาสมุนไพรของซาวเย่าในหุบเขาอมตะไม่มีใครเทียบได้ ศิษย์พี่ใหญ่จะต้องศึกษากับน้องซาวเย่าให้ดี” ฟ่านเมี่ยวเจินหัวเราะน่ารักทำท่ากะพริบตาให้กับหลี่ชิเย่และฉินซาวเย่าทั้งสองคน ท่าท่าแฝงไว้ซึ่งความคลุมเครืออยู่สามส่วน
ลำดับของฉินซาวเย่านั้นอยู่ท้ายสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมด จึงอยู่ในฐานะของศิษย์น้องเล็ก แต่ในด้านของวิชายาสมุนไพร ฉินซาวเย่ากลับสามารถแสดงออกถึงพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศ ฝีมือในด้านนี้จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของกลุ่มคนรุ่นใหม่
กล่าวได้ว่า ในหุบเขาอมตะยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูกสมุนไพรหญ้าทิพย์ หรือการจัดสรรในเรื่องของโอสถล้วนแล้วแต่ให้ฉินซาวเย่าเป็นผู้ดำเนินการ
“ศิษย์พี่ มาล้อช้าอีกแล้ว พวกเราเติบโตที่หุบเขาอมตะมีใครบ้างล่ะไม่รู้ว่าศิษย์พี่ที่พรสวรรค์เป็นหนึ่ง วิชาปรุงกลั่นยาปราศจากผู้เทียบเทียม” ฉินซาวเย่าหน้าแดงกล่าวเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
ที่ฉินซาวเย่าพูดมานั้นเป็นความจริงใช่เป็นการเยินยอต่อฟ่านเมี่ยวเจิน เพียงแต่ฟ่านเมี่ยวเจินเป็นคนมีนิสัยแก่นแก้ว ผู้คนจำนวนมากเมื่ออยู่ร่วมกับนางแล้วก็จะลืมไปว่าฝีมือด้านการปรุงกลั่นยาของนางนั้นน่าตกใจอย่างยิ่ง
“เมื่อฟังคำจากศิษย์น้องแล้ว ข้าที่เป็นศิษย์พี่รู้สึกตัวเบาหวิวอยู่บ้างแล้วสิ พวกเราสามอนงค์หุบเขาอมตะคือสุดยอดสาวงามอัจฉริยะของแดนลัทธิพรรษ เมื่อเป็นดังนี้ยังคงเป็นอาจารย์ของพวกเราที่ถ่ายทอดวิชาได้ถูกต้อง” ฟ่านเมี่ยวเจินหัวเราะน่ารัก กะพริบตาทีหนึ่งพูดจาหยอกล้อซุกซน
หลี่ชิเย่มองดูท่าทางของฟ่านเมี่ยวเจินแล้วถึงกับหัวเราะขึ้นมา
“หุบเขาอมตะของพวกเรามีสามอนงค์ ซึ่งเป็นสุดยอดสาวงามแห่งยุค ข้ากับน้องซาวเย่าที่เป็นสาวงามทั้งสอง ศิษย์พี่ใหญ่ได้พบเจอแล้ว ถือโอกาสศิษย์พี่ใหญ่ขณะนี้มีเวลาข้าจะแนะนำให้ศิษย์พี่ใหญ่ได้รู้จักกับอีกหนึ่งสาวงามของหุบเขาอมตะ ศิษย์พี่ใหญ่สนใจไหมล่ะ” เวลานี้ฟ่านเมี่ยวเจินเย้าเล่นพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ออกมา
ที่แท้นักพรตฉางเซินมีศิษย์อยู่สามคน ในบรรดาศิษย์ทั้งสามนั้น ฟ่านเมี่ยวเจินอยู่ลำดับที่หนึ่ง ฉินซาวเย่าอยู่อันดับสุดท้าย ขณะที่ศิษย์อีกคนมู่หย่าหลันอยู่อันดับที่สอง
“แล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” หลี่ชิเย่หัวเราะ
“เช่นนั้นก็ไปเลย” ฟ่านเมี่ยวเจินหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ข้าอยากให้ศิษย์พี่ใหญ่ช่วยตัดสินทีว่าพวกเราสามอนงค์หุบเขาอมตะใครสวยที่สุด”
“ข้าจะจัดการบุปผาเดือดเหมันต์อัคคีให้เรียบร้อยก่อน ศิษย์พี่ทั้งสองไปกันเถอะ” ฉินซาวเย่ากล่าวเสียงนุ่มนวลขึ้นมา นางรู้สึกหวั่นใจที่จะถูกศิษย์พี่แกล้งอยู่บ้าง ในหุบเขาร้อยบุปผาของพวกเขา หากถูกศิษย์พี่ปั่นหัวเล่นล่ะก็ ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกปวดหัวแน่นอน
“เอาเถอะ คราวนี้ถือว่าเจ้าโชคดี ปล่อยให้เจ้าถอนตัวอย่างกะทันหัน” ฟ่านเมี่ยวเจินหัวเราะน่ารักโดยไม่ได้บังคับฉินซาวเย่า ดึงมือหลี่ชิเย่แล้วออกวิ่งไปข้างนอกทันที
ฟ่านเมี่ยวเจินไม่ได้ถือสาแม้แต่น้อย และไม่กลัวเรื่องของหญิงชายไม่ควรถูกเนื้อต้องตัว เหมือนเป็นลิงทโมนคนหนึ่ง ดึงมือของหลี่ชิเย่แล้วออกวิ่งไปด้านนอกหุบเขาร้อยบุปผา
ฟ่านเมี่ยวเจินนับว่าเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจคนหนึ่ง เมื่อไรที่นางทำตัวเรียบร้อยเคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง นางก็จะเป็นสาวงามที่มีคุณสมบัติสูงส่ง ท่าทางดั่งเทพธิดามาดไม่เบาเลยทีเดียว แต่ว่าเมื่อไรที่บ้าขึ้นมา ก็จะเป็นลิงทโมนที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างยิ่งให้กับผู้คน
ด้านนอกของหุบเขาอมตะ มีบ้านที่ขึ้นลงสลับ มีห้องหับเป็นห้องๆ ยิ่งกว่านั้น ยังมีเต้นท์ที่มีการตั้งขึ้นมาเป็นการชั่วคราว
ที่นี่คือสำนักที่เป็นสาขาหนึ่งของหุบเขาอมตะซึ่งก็คือหอร้อยรักษ์ และเป็นสำนักสาขาของหุบเขาอมตะ ที่เปิดให้การต้อนรับบุคคลภายนอกตลอดเวลา โดยจะรับคนไข้จากทั่วทุกสารทิศของแดนลัทธิพรรษ
ดังนั้น ขณะที่ฟ่านเมี่ยวเจินดึงหลี่ชิเย่วิ่งเข้าไปภายในหอร้อยรักษ์นั้น กลิ่นยาได้โชยเข้ามาปะทะใบหน้า ทั่วทั้งหอร้อยรักษ์มีความคึกคักยิ่งนัก ไม่เพียงแต่ศิษย์ของหุบเขาอมตะที่เดินทางเข้าออก ยิ่งกว่านั้นยังมีผู้บำเพ็ญตน และมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่มาจากสถานที่ต่างๆ ในแดนลัทธิพรรษเพื่อขอให้ช่วยรักษา
นี่แหละคือข้อแตกต่างระหว่างหุบเขาอมตะกับระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจำนวนมา สำหรับบรรดาระบบถ่ายทอดตวามคิดทางด้านลัทธิจำนวนมากแล้ว ต่อให้เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาภายในระบบถ่ายทอดตวามคิดทางด้านลัทธิของตนก็มีฐานะไม่แตกต่างอะไรกับมดปลวกอย่างไม่ต้องสงสับ ความจริงแล้ว ในโลกของผู้บำเพ็ญตนแล้ว เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่จะไปให้ความสำคัญต่อมนุษย์ปุถุชน
แต่หอร้อยรักษ์ของหุบเขาอมตะกลับแตกต่าง หอร้อยรักษ์ของหุบเขาอมตะไม่เพียงเปิดกว้างให้กับผู้บำเพ็ญตนทั่วหล้าแล้ว ยังเปิดกว้างให้กับมนุษย์ปุถุชนธรรมดาทั่วหล้าอีกด้วย อีกทั้งการปฏิบัติต่อมนุษย์ปุถุชนธรรมดาของหุบเขาอมตะนั้นก็จะมีการเรียกเก็บค่ารักษาที่ยุติธรรม กระทั่งไม่คิดค่ารักษา
เพราะเหตุนี้เอง หุบเขาอมตะจึงได้รับการสรรเสริญที่สูงมากในโลกของมนุษย์ปุถุชน ทั้งยังมีมนุษย์ปุถุชนธรรมดาจำนวนมากมาเรียนวิชาการแพทย์ที่หอร้อยรักษ์ พวกเขาเพียงแค่ศึกษาด้านวิชาการแพทย์กับหอร้อยรักษ์เท่านั้น โดยไม่ได้ฝึกบำเพ็ญเพียร
และด้วยเหตุนี้ จึงปรากฏหมอที่มีชาติกำเนิดมาจากหุบเขาอมตะกระจาอยู่ทั่วไปในโลกของมนุษย์ปุถุชน ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้กับหุบเขาอมตะเป็นอันมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...