ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 2241

สรุปบท ตอนที่ 2241 ทุบให้ตาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 2241 ทุบให้ตาย – ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล โดย Internet

บท ตอนที่ 2241 ทุบให้ตาย ของ ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล ในหมวดนิยายAction เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

“ระวังคำพูด?” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่งและกล่าวว่า “ข้าพูดกับเจ้าก็คือเกียรติของเจ้า แค่แคว้นว่านโซ่วเท่านั้นเองนับเป็นตัวอะไร หากข้าอารมณ์ดีก็คือแคว้นๆ หนึ่ง ทำให้ข้าไม่สบอารมณ์มันก็แค่มดปลวกที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของข้าเท่านั้นเอง เท้าข้างหนึ่งก็บี้มันจนตาย!”

เมื่อพูดออกมาเช่นนี้ สีหน้าของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วดูไม่จืดถึงขีดสุด แคว้นว่านโซ่วของพวกเขาหาใช่นายหมูนายหมาที่ไหน พวกเขาคือสำนักอันดับหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ กำลังกล้าแข็งพอที่จะเป็นหลักและมีบทบาทนำพาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะทั้งหมด มีสิทธิ์ที่จะปกครอง และกุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ แต่ว่า เมื่อออกจากปากของหลี่ชิเย่แล้วถึงกับไร้ค่าเทียบไม่ได้กับหนึ่งอีแปะ

คำพูดของหลี่ชิเย่เป็นการดูแคลนต่อแคว้นว่านโซ่วของพวกเขา เป็นการเหยียดหยามต่อชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วให้ได้อาย และเป็นการเหยียดหยามต่อแคว้นว่านโซ่วของพวกเขา

ในเวลานี้ ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธแค้น ศิษย์ที่อยู่ข้างกายของเขาก็ทยอยกันชักกระบี่ออกมาและจ้องมองด้วยความโกรธ ดวงตาทั้งสองของพวกเขาแทบพ่นเป็นไฟแห่งความโกรธออกมา

กล่าวสำหรับศิษย์ของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วแล้ว ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะมีสำนักใด หรือยอดฝีมือใดๆ หาญกล้าดูแคลนต่อแคว้นว่านโซ่วของพวกเขา? ต่อให้อยู่ต่อหน้าศิษย์ของหุบเขาอมตะ พวกเขาที่เป็นศิษย์ของแคว้นว่านโซ่วก็ยังคงสามารถยืดอกได้เหมือนเดิม มาวันนี้ถูกหลี่ชิเย่ดูแคลนถึงเพียงนี้ พวกเขาไม่เคยถูกเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน

“ผู้เยาว์ เจ้าพูดอะไรให้ระวัง” ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วพลันร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง กล่าวน้ำเสียงเย็นยะเยือกออกมาว่า “เกรงว่าเจ้าจะรับไม่ไหวกับผลที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด? เวลานี้เจ้ายอมอ่อนข้อให้ยังทัน! ข้าเป็นผู้ใหญ่มีใจกว้าง มิฉะนั้นล่ะก็…”

“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มเฉยเมย เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แววตาของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วดูเข้มและน่าเกรงขาม จ้องมองหลี่ชิเย่เย็นชาและกล่าวน้ำเสียงเย็นยะเยือกออกมาว่า “การที่แคว้นว่านโซ่วของพวกเรามาสู่ขอต่อหุบเขาอมตะ ถือเป็นการเห็นแก่ไมตรีจิตที่มีต่อกันในอดีต และเห็นแก่ความเป็นนิกายเดียวกัน สิ่งนี้ก็นับว่าเป็นการส่งเสริมพวกเจ้าสักครั้ง…”

“พูดแบบนี้ แสดงว่าเป็นพวกเราหุบเขาอมตะที่อาจเอื้อมน่ะสิ” สำหรับคำพูดของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วนั้น ฟ่านเมี่ยวเจินได้กล่าวเสียงเย็นชาตัดบทของเขาทันที

“แม่นางฟ่าน พูดคำพูดที่ไม่น่าฟังสักคำ โลกนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว มันหาใช่โลกใบเดิมในอดีตอีกต่อไป ต้องอาศัยสายตาแบบใหม่ๆ ไปปฏิบัติต่อโลกใหม่ มิฉะนั้นล่ะก็อาจมีสักวันที่กระทั่งไม่รู้เลยว่าตัวเองตายแบบไหน” ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วหัวเราะน่าครั่นคร้าม และกล่าวว่า “อย่าว่าแต่หมอเทวดามู่เลย กล่าวสำหรับแม่นางฟ่านแล้วก็สมควรหาสามีที่ดีและแต่งออกไปได้แล้ว องค์ชายของแคว้นว่านโซ่วพวกเราก็มีความปรารถนาที่จะมีสนม…”

เมื่อชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา ย่อมเป็นการปราศจากหวั่นเกรงโดยสิ้นเชิง เหมือนว่ามีการเตรียมการมาอย่างดี

ทันใดนั้น บรรดาศิษย์หุบเขาอมตะที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างจ้องมองชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วด้วยความโกรธ ฟ่านเมี่ยวเจินคือศิษย์เอกของนักพรตฉางเซิน คือศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขา ได้รับการเคารพอย่างยิ่งต่อศิษย์ร่วมสำนัก ขณะที่แคว้นว่านโซ่วเป็นเพียงแคว้นๆ หนึ่งภายใต้หุบเขาอมตะเท่านั้น เวลานี้ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วถึงกับคุยโวไร้ยางอายว่าองค์ชายของพวกเขาต้องการรับฟ่านเมี่ยวเจินเป็นสนม เท่ากับเป็นการท้าทายอำนาจของหุบเขาอมตะโดยตรง และเหยียดหยามต่อหุบเขาอมตะของพวกเขา

“รับข้าเป็นสนม?” ฟ่านเมี่ยวเจินไม่โกรธกลับหัวเราะ ยิ้มกล่าวว่า “คุณชายหุยชุนที่อาศัยวิชามารมาสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองคิดจะรับข้าเป็นสนม? ไม่รู้จักหากระจกมาส่องดูตนเอง เป็นแค่คางคกริอ่านจะกินเนื้อห่านฟ้า!”

“แหะแม่นางฟ่าน เกรงว่าอีกไม่นาน เมื่อถึงเวลานั้นแล้วเจ้าคิดจะหยิ่งยโสก็หยิ่งยโสไม่ขึ้น เมื่อถึงวันนั้น เกรงว่าแม้แม่นางฟ่านคิดจะเป็นสนมก็ไม่มีคุณสมบัติ เกรงว่าถึงตอนนั้นคงกวักมือก็มา โบกมือก็ไป…”

เพียะ…เสียงหนึ่งดังขึ้น ขณะที่ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วพูดยังไม่ทันจบ หนึ่งฝ่ามือของหลี่ชิเย่ได้ตบเข้าให้ที่หน้าของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วเต็มแรง

ฝ่ามือนี้ของหลี่ชิเย่รวดเร็วเหลือเกินคล้ายดั่งสายฟ้าแลบ ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วไม่สามารถหลบหลีกได้ทัน พลันถูกฝ่ามือนี้ของหลี่ชิเย่ตบเข้าให้อย่างแรง ทำเอาเขาถึงกับมองเห็นดาวเห็นเดือน เลือดไหลหยดลงมาจากมุมปาก

“สวะเท่านั้น ไสหัวไปตอนนี้ข้ายังจะไว้ชีวิตเจ้า” หลี่ชิเย่กล่าวเย็นชาขึ้นมา

“จะฆ่าเจ้า!” ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วพลันโกรธจัด ตัวเขาในฐานะชิงหวังที่มีกำลังทหารอยู่ในมือ ไหนเลยจะเคยถูกหยามเหยียดเช่นนี้มาก่อน ทำให้เขารู้สึกโกรธแค้นอย่างยิ่ง และขาดสติยั้งคิดไปทันที

“ฆ่า…” ฉับพลันที่มีการสั่งการ บรรดาศิษย์ของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วล้วนแล้วแต่ชักกระบี่และดาบออกจากฝัก พลันมองเห็นเงาดาบและกระบี่ที่บิดเข้าสังหารต่อหลี่ชิเย่

ศิษย์ของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วล้วนแล้วแต่มีฝีมือไม่เบา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังชำนาญวิชาการต่อสู้ พลันที่ลงมือก็จะแยกเข้าสังหารซ้ายขวา และสามารถเข้ากันได้อย่างไม่มีช่องโหว่ ท่ามกลางประกายดาบและเงากระบี่ที่รุนแรง ต้องการสับร่างของหลี่ชิเย่ให้เละ

“มดปลวกที่ไม่เจียมตัวเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ไม่ได้มองด้วยซ้ำ เห็นเงาแวบหนึ่ง คล้ายดั่งสิ่งของที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารที่พุ่งชนเข้าไป

ปัง ปัง ปังเสียงสิ่งของชนกระแทกกันดังขึ้น ตามติดมาด้วยเสียงคร๊ากก คร๊ากกที่เป็นเสียงแตกละเอียดของกระดูกดังขึ้นไม่ขาดสาย ในเสี้ยววินาทีนี้เอง บรรดาศิษย์ที่บุกสังหารเข้ามาพลันถูกพุ่งชนจนร่างกายแหลกละเอียด ที่สาหัสมากไปกว่านี้คือกลายเป็นหมอกเลือดไปทันที

ศิษย์สิบกว่าคนถูกสังหารโดยพลัน ไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องเสียงน่าเวทนาออกมา

คนอื่นที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้วยังเข้าใจว่าเป็นการพูดหยอกล้อของหลี่ชิเย่เท่านั้นเอง ขณะที่ฟ่านเมี่ยวเจินได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้ว นางถึงกับร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง

ชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง ฟ่านเมี่ยวเจินเข้าใจได้ว่าคำพูดของหลี่ชิเย่นั้นไม่ได้ล้อเล่น และไม่ได้เป็นการหยอกล้อ ทุกอย่างที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง เขาได้ฆ่าคนมาเป็นสิบล้านจริงๆ และเป็นความจริงที่เขาเคยเข่นฆ่าจนศพกองสุมดั่งภูเขามาก่อน

เมื่อฟ่านเมี่ยวเจินนึกถึงภาพนี้แล้วถึงกับสั่นเทิ้มทีหนึ่ง นี่คือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะเข่นฆ่าคนมาเป็นสิบล้าน ขณะที่มองเห็นรอยยิ้มเต็มใบหน้าของหลี่ชิเย่นั้น ฟ่านเมี่ยวเจินเข้าใจแล้วว่าอะไรที่เรียกว่าเป็นรอยยิ้มของมารร้าย นี่แหละคือรอยยิ้มของมารร้าย นาทีนี้ รอยยิ้มของหลี่ชิเย่ดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าตอนที่เขาโกรธเสียอีก

“เจ้า เจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่า แคว้นว่านโซ่วของข้า ข้ามีกำลังทหารอันดับหนึ่ง อยู่เหนือหุบเขาอมตะพวกเจ้า ยัง ยังมี แคว้นว่านโซ่วของพวก พวกเรามีกำลังที่พวกเจ้านึกไม่ถึง มีคนบางคนที่พวกเจ้าไม่อาจหาเรื่องเขาได้ตลอดกาล…” สีหน้าของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วตกใจจนขาวซีด ถอยหลังไปพลาง ร้องกล่างเสียงดังไปพลาง

แต่ว่า คำพูดของเขาพูดยังไม่ทันจบ มือข้างหนึ่งของหลี่ชิเย่ก็ได้บีบคอของเขาเอาไว้แล้ว ในเวลานี้แม้ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วคิดขัดขืนก็ไร้ผล ตัวเขาที่ตกอยู่ในมือของหลี่ชิเย่เป็นได้เพียงมดปลวกเท่านั้นเอง

“ท่านราชครู ช่วย ช่วย ช่วยข้าด้วย…” สุดท้าย ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วถูกทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ร้องเสียงแหลมออกไป

ตูม…ในชั่วพริบตาเดียวนั่นเองเสียงดั่งสนั่นขึ้นมา ด้านนอกหุบเขาอมตะปรากฎประกายที่พุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง ตามติดด้วยเสียงกระบี่ดังตึง ตึง ตึงขึ้นมาไม่ขาดสาย มองเห็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์แต่ละเล่มที่พุ่งทะลุพื้นดินขึ้นมา ฉับพลันพุ่งตรงไปยังด้านหน้าทางเข้าของหุบเขาอมตะ

ได้ยินเสียงดังตึงที่เป็นเสียงคำรามของกระบี่ดังขึ้นมาไม่ขาดสาย เสียงนั้นดังก้องไปทั่วฟ้าดิน ปรากฎเป็นสะพานกระบี่ขนาดยักษ์ที่พาดผ่านอยู่บนท้องฟ้า ทั่วฟ้าดินล้วนแล้วแต่ตลบอบอวลไปด้วยพลังกระบี่ที่น่ากลัว

ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำเอาผู้คนทั้งหมดตื่นตระหนก ไม่เพียงแต่ศิษย์ของหุบเขาอมตะเท่านั้น แม้แต่ผู้บำเพ็ญตน และมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่เป็นบุคคลภายนอกและเดินทางมาถึงยังตำบลเล็กๆ นอกหุบเขาอมตะ ก็ถูกพลังกระบี่ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ทำเอาตกอกตกใจเป็นอย่างยิ่ง

เสียงตูมดังสนั่นขึ้นเสียงหนึ่ง นาทีนี้มองเห็นอานุภาพเทพแท้จริงสายหนึ่งที่พวยพุ่งขึ้นมา คล้ายดั่งเป็นน้ำที่พุ่งขึ้นรุนแรงดั่งน้ำตกสวรรค์

สมควรทราบว่า สถานที่บริเวณนี้เป็นถิ่นของหุบเขาอมตะ การที่จู่ๆ มีผู้สำแดงอานุภาพเทพแท้จริงขึ้นมาบนพื้นที่อันเป็นถิ่นของหุบเขาอมตะกะทันหัน ทั้งยังรุนแรงอาละวาดไปทั่ว ช่างเป็นการกระทำที่ไม่มีความหวั่นเกรงเช่นใด และเป็นการท้าทายต่ออำนาจของหุบเขาอมตะ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล