นาทีนี้ ผู้เฒ่าผู้หนึ่งเหินฟ้าเข้ามา ก้าวขึ้นไปบนสะพานกระบี่แล้วก้าวมาตามสะพานกระบี่ มองดูเหมือนว่าเขาก้าวเดินมาทีละก้าวๆ เหมือนเดินช้ามาก แต่ความจริงแล้วเป็นความเร็วที่น่ากลัวมาก เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นก็มาถึงด้านหน้าทางเข้าหุบเขาอมตะแล้ว
ผู้เฒ่าผู้นี้สวมใส่ชุดเสื้อวิเศษทั้งชุด สายตาของเขาแหลมคมยิ่งนักดั่งนกเหยี่ยว จอนทั้งสองข้างเป็นสีขาวเทา หนวดสั้นดั่งขนแม่น ท่าทางดุดัน โดยเฉพาะกลิ่นอายเทพแท้จริงที่แผ่กระจายออกมาจากตัวของเขานั้น ยิ่งเป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คน
เวลานี้อานุภาพเทพแท้จริงบนตัวของผู้เฒ่าผู้นี้ดั่งลูกคลื่นที่ซัดสาดพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง น่าเกรงขามและดุดัน อีกทั้งผู้เฒ่าไม่เพียงแต่ไม่คิดที่จะเก็บงำ ตรงกันข้ามกลับปล่อยให้พลังเทพแท้จริงของตนอาละวาดอยู่บนฟ้าดินแห่งนี้ตามอำเภอใจ
สมควรทราบว่า ที่ตรงนี้คือถิ่นของหุบเขาอมตะ ยิ่งกว่านั้นยังอยู่บริเวณประตูทางเข้าของหุบเขาอมตะอีกด้วย ในฐานะที่หุบเขาอมตะเป็นสายตรงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นสำนักใดๆ ก็ตาม จะต้องให้ความเคารพต่อหุบเขาอมตะที่ควรจะเป็น
ต่อให้เป็นเทพแท้จริงที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ เวลาที่อยู่ด้านนอกประตูทางเข้าของหุบเขาอมตะก็ต้องเก็บงำกลิ่นอายของตน ซึ่งถือเป็นการให้ความเคารพต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง
เวลานี้ ผู้เฒ่าผู้นี้ปล่อยให้กลิ่นอายเทพแท้จริงไปตามอารมณ์ เป็นการท้าทายต่ออำนาจของหุบเขาอมตะอย่างโจ่งแจ้ง กระทั่งเรียกได้ว่าไม่เห็นหุบเขาอมตะอยู่ในสายตาเลย
“เซี่ยวหงเจี้ยน! ราชครูเซี่ยว…” ไม่เพียงแต่ผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ด้านนอกหุบเขาอมตะที่รู้สึกตระหนก แม้แต่ศิษย์จำนวนไม่น้อยของหุบเขาอมตะเองก็รู้สึกตกใจ เมื่อมองเห็นผู้เฒ่าที่ก้าวเดินเข้ามาบนสะพานกระบี่
นาทีนี้ ได้ยินเสียงสัญญาณฉุกเฉินดังตึง ตึง ตึงขึ้นมาอีกครั้ง ทั่วทั้งหุบเขาอมตะคล้ายดั่งเผชิญกับศัตรูผู้กล้าแข็งอย่างนั้น
เซี่ยวหงเจี้ยนก็คือชื่อของผู้เฒ่าผู้นี้ เขาก็คือราชครูของแคว้นว่านโซ่ว ในอดีตนานมาแล้ว เซี่ยวหงเจี้ยนคือผู้บำเพ็ญตนที่แข็งแกร่งมากในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ภายหลังถูกแคว้นว่านโซ่วดึงตัวไปและได้รับการให้ความสำคัญจากแคว้นว่านโซ่ว
โดยเฉพาะได้รับการช่วยเหลือด้านโอสถจากแคว้นว่านโซ่วแล้ว ยิ่งทำให้ทักษะของเซี่ยวหงเจี้ยนรุดหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เคยมีข่าวลือนานมาแล้วในอดีตว่า เซี่ยวหงเจี้ยนนั้นได้ก้าวหน้าไปถึงขั้นก้าวขึ้นสู่สวรรค์ กลายเป็นเทพแท้จริงสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง ต่อมามีอยู่ช่วงระยะเวลานานมาแล้ว มีผู้คาดเดาว่า เซี่ยวหงเจี้ยนมีความเป็นไปได้ว่าได้กลายเป็นเทพแท้จริงก้าวขึ้นสู่สวรรค์ชั้นที่สองแล้ว
ในฐานะที่เป็นเทพแท้จริงก้าวขึ้นสู่สวรรค์ชั้นที่สอง ดำรงตำแหน่งราชครูของแคว้นว่านโซ่ว ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงกำลังของแคว้นว่านโซ่วในอีกแง่มุมหนึ่ง สมควรทราบว่าแคว้นว่านโซ่วนั้นเป็นเพียงสำนักหนึ่งที่อยู่ภายใต้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเท่านั้น ยังไม่สามารถเป็นตัวแทนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะทั้งหมด แต่ทว่า ตำแหน่งราชครูของพวกเขาก็เป็นถึงระดับเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นที่สองแล้ว ลองนึกภาพดดู ระดับบรรพบุรุษของพวกเขาก็คงไม่ด้อยไปกว่ากันสักเท่าไร
“ราชครูเซี่ยว…” ชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วรู้สึกดีใจ เมื่อมองเห็นเซี่ยวหงเจี้ยนมาถึงด้านหน้าประตูทางเข้าของหุบเขาอมตะเพียงชั่วพริบตาเดียว นาทีนี้เขารู้สึกว่าตัวเองรอดแล้ว
ในเวลานี้ ไม่รู้ว่ามีสายตาจำนวนเท่าไรที่ตกไปอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่ ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ด้านนอก หรือจะเป็นศิษย์ของหุบเขาอมตะ อีกทั้งยังมีผู้คนจำนวนมากที่ยังไม่รู้ถึงรายละเอียดเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“สหายน้อย มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้ ปล่อยชิงหวังเสียก่อน” ดวงตาทั้งสองของ เซี่ยวหงเจี้ยนจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ แววตาของเขาดูลึกล้ำ ไม่โกรธแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ
“เจ้าบอกให้ปล่อยก็ปล่อยเลยนะเนี่ย” หลี่ชิเย่ยิ้มและกล่าวว่า “คนที่ข้าต้องการฆ่า ใครมาก็ใช้การไม่ได้”
“สหายน้อย เจ้าต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบนะ” เซี่ยวหงเจี้ยนเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ภาษิตว่า สองแคว้นต่อสู้กันไม่ประหารทูต ชิงหวังก็เพียงแค่ผู้นำสารเท่านั้นเอง อีกอย่าง หากสหายน้อยทำการโดยพลการ เกรงว่าจะนำพาหุบเขาอมตะเข้าไปอยู่ท่ามกลางไฟสงครามนับเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเลย”
“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉ่ยเมยและกล่าวว่า “ข้ากลับจะชอบนะไฟสงครามนี่ โดยปรกติแล้วมีแต่ข้าที่นำเอาไฟสงครามไปเผายังบ้านคนอื่น คนที่กล้านำไฟสงครามมาเผาบนตัวข้าเกรงว่าคงเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว”
“สหายน้อย เกรงว่าผลลัพธ์นี้เจ้าจะแบกรับเอาไว้ไม่ได้! กลับตัวใหม่เวลานี้ยังไม่สาย หากสังหารทูตของแคว้นว่านโซ่วล่ะก็ เท่ากับเป็นการประกาศศึกกับแคว้นว่านโซ่ว สิ่งนี้หาใช่เจ้าสามารถตัดสินใจได้ ยังคงเชิญนักพรตฉางเซินออกมาตัดสิน…” สีหน้าของเซี่ยวหงเจี้ยนดูไม่เป็นมิตรนัก
หลี่ชิเย่โบกมือกล่าวตัดบทว่า “แค่แคว้นว่านโซ่วเท่านั้นเอง ไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไหนเลยต้องให้เจ้าหุบเขาพวกเราออกหน้า ข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ทำลายแคว้นว่านโซ่วพวกเจ้ามันก็แค่ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือเท่านั้น”
คำพูดเช่นนี้เมื่อพูดออกมา พลันทำให้ผู้อยู่ในเหตุการณ์ไม่รู้จำนวนเท่าไรต้องใจหายใจคว่ำ ไม่ต้องพูดถึงผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ด้านนอก แม้แต่ศิษย์ของหุบเขาอมตะก็ต้องตกใจอย่างยิ่งกับคำพูดของหลี่ชิเย่
นี่ออกจะบ้าบิ่นมากเกินไปแล้วกระมัง ศิษย์ของหุบเขาอมตะต่างมองหน้ากันและกัน รู้สึกว่าศิษย์พี่ใหญ่ของตนเองนั้นคงบ้าไปแล้ว แคว้นว่านโซ่วคือสำนักอันดับหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ความเข้มแข็งด้านกำลังนั้นเรียกว่าไล่ตามหลังหุบเขาอมตะของพวกเขามาติดๆ
เวลานี้ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขาถึงกับออกปากว่าอาศัยตัวเขาเพียงลำพังคนเดียวก็สามารถทำลายแคว้นว่านโซ่วได้แล้ว เรียกได้ว่าบ้าบิ่นจนสุดๆ
ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ด้านนอกก็ถูกคำพูดเช่นนี้ทำเอาตกใจจนตะลึงงัน แคว้นว่านโซ่วเสมือนดั่งพระอาทิตย์กลางหาว และเป็นสำนักที่เคยให้กำเนิดระดับราชันแท้จริงมาก่อน เวลานี้มีคนกล้าร้องเอะอะว่าจะทำลายพวกเขา มันช่างพาลเพียงใด คนประเภทนี้หากไม่เป็นเพราะเสียสติไปแล้วก็ต้องแข็งแกร่งและพาลจนสุดๆ
มีผู้ที่ได้สติกลับมาหลังจากผ่านไปชั่วครู่ ถึงกับต้องมองตากันและกัน โดยเฉพาะบรรดายอดฝีมือรุ่นอาวุโสบางส่วน ในใจของพวกเขามองว่าเรื่องขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่เห็นจะเป็นอุบัติเหตุ เกรงว่าภาพที่เห็นนั้นเป็นการเตรียมการและวางแผนกันมาเป็นเวลานานแล้ว
มิฉะนั้นแล้ว ไหนเลยที่เซี่ยวหงเจี้ยนซึ่งเป็นราชครูของแคว้นว่านโซ่วจะปรากฎตัวออกมาอยู่ด้านหน้าของหุบเขาอมตะได้ทันกาลเช่นนี้ได้เล่า?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...