มีผู้ที่พากันร้องเอะอะโวยวายขึ้นมาทันที เมื่อเห็นหูชิงหนิวก้าวออกมาท้าดวลกับหลี่ชิเย่ “ถูกต้อง ในเมื่อเป็นผู้ปราศจากผู้ต่อการในขอบเขตของการปรุงกลั่นยา ด้านโอสถ ด้านการแพทย์ และด้านพิษทั้งสี่ด้าน ก็แข่งขันกันสักหน่อยว่าใครเหนือกว่าใคร”
จางเหยียนก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าก็เห็นด้วย วันนี้พวกเราสามอัจฉริยะอมตะก็มาอยู่กันที่นี่ พวกเราไม่เจียมตนขอคุมเข้มให้กับทุกๆ คน พวกเราแต่ละคนเชี่ยวชาญด้านปรุงกลั่นยา การแพทย์ และพิษสามขอบเขตใหญ่ ถ้าเช่นนั้นศิษย์พี่ใหญ่หลี่กล้าตัดสินชี้ขาดกับพวกเราในด้านนี้หรือไม่เล่า?”
“อาศัยอะไรข้าต้องยอมรับคำท้าของพวกเจ้า?” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา และส่ายหน้าเบาๆ
“หากไม่รับคำท้าไหนเลยทำให้ผู้อื่นยอมรับได้ แล้วไหนเลยมีสิทธิ์จุดธูปก้านที่หนึ่งได้ เจ้ากล้าตัดสินชี้ขาดหรือไม่?” หูชิงหนิวที่ท่าทางทะนงตัวกล่าวน่าเกรงขามออกมา
“อาศัยหุบเขาอมตะก็เพียงพอแล้ว!” พลันที่หูชิงหนิวพูดขาดคำ ฉินซาวเย่าที่ปรกติสุภาพนุ่มนวลก็ส่งเสียงออกมาแล้ว คำพูดของนางเวลานี้หนักแน่นมีพลัง ศิษย์ของหุบเขาอมตะไม่มีคนอ่อนแอสักคน
แววตาของฉินซาวเย่าเย็นชาจ้องเขม็งไปที่หูชิงหนิว กล่าวน่าเกรงขามออกมาว่า “นอกจากหุบเขาอมตะแล้ว ยังจะมีใครที่มีสิทธิ์จุดธูปก้านที่หนึ่ง! ศิษย์พี่ใหญ่คือศิษย์ลำดับที่หนึ่ง อาศัยสิ่งนี้เพียงพอแล้ว นอกเหนือจากนี้ล้วนไม่มีสิทธิ์!”
ปรกติแล้วฉินซาวเย่าเป็นคนมีน้ำใจโอบอ้อมอารี แต่เมื่ออยู่ในช่วงจังหวะที่สำคัญแล้ว คำพูดของนางก็ยกตนข่มท่านเช่นกัน ในฐานะที่เป็นศิษย์ของนักพรตฉางเซิน นางไหนเลยจะปล่อยให้ถูกคนเขารังเกกันได้โดยง่าย
“แบบนี้ออกจะเผด็จการมากเกินไปแล้วกระมัง” ในเวลานี้เอง หวู่เสียนยวี่ชายหนุ่มที่เคียงข้างกันมากับราชาพิษหวงฉวนเวยกล่าวเย้ยหยันว่า “ผู้มีความสามารถคือผู้นำ เรื่องเช่นนี้ใช่จะนับระดับอาวุโสกัน”
“หวู่เสียนยวี่เจ้าไม่ใช่ศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะอีกต่อไปแล้ว ทางที่ดีเรื่องนี้เจ้าหุบปากเสียจะดีกว่า” มู่หย่าหลันที่ดั่งดอกเหมยท่ามกลางหิมะหนาวเย็น กล่าวตำหนิโดยไม่ไว้หน้า
สีหน้าของชายหนุ่มที่ชื่อหวู่เสียนยวี่พลันดูไม่จืด แต่เมื่อนึกถึงฐานะที่ผู้สนับสนุนของตนแล้ว ความกล้าก็เพิ่มขึ้นยืดอกขึ้นและกล่าวเย็นชาขึ้นว่า “หมอเทวดามู่ ที่ข้าพูดมาก็เป็นการหวังดีต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ และเพื่ออนาคตของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ หากว่าหุบเขาอมตะจะทำตามอำเภอใจอย่างเดียว จะต้องเสื่อมลงแน่นอน!”
ชายหนุมที่ชื่อหวู่เสียนยวี่ผู้นี้เป็นศิษย์ของสำนักๆ หนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ เพียงแต่ภายหลังศิษย์พี่ของเขาโจวจื้อคุนไปทำงานให้กับผู้ที่มีประวัติความเป็นมาที่น่ากลัวมาคนหนึ่ง เขาก็ได้ติดตามไปด้วย และหลุดจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะไป
ในอดีต หวู่เสียนยวี่เป็นเพียงศิษย์ธรรมดาของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเท่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าศิษย์ของหุบเขาอมตะแล้วไม่รู้ว่าต่ำชั้นกว่ากันกี่รุ่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขณะอยู่ต่อหน้ามู่หย่าหลันเลย
ในอดีต เขากระทั่งไม่กล้าแม้แต่จะพูดเมื่ออยู่ต่อหน้ามู่หย่าหลัน ไม่กล้าเข้าไปใกล้ได้แต่ยืนมองอยู่ระยะห่างไกล เวลานี้แตกต่างกันแล้ว เมื่อนายของเขาที่อยู่เบื้องหลังมีประวัติความเป็นมาที่น่ากลัว ใครบ้างเล่าในแดนลัทธิพรรษไม่หวั่นเกรงผู้นั้นอยู่สามส่วน? ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดบ้างที่ไม่ให้เกียรติ?
ดังนั้น การที่เขากลับมายังระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะครั้งนี้ก็นับได้ว่ามาพร้อมเกียรติยศและความร่ำรวย กระทั่งเรียกขานเป็นพี่เป็นน้องกับหวงฉวนเวยแห่งแคว้นว่านโซ่ว ซึ่งในอดีตเป็นสิ่งที่เขาไม่กล้านึกถึง
ดังนั้น วันนี้เมื่อเขาอยู่ต่อหน้ามู่หย่าหลันจึงมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาก มีความยโสเพิ่มขึ้นไม่น้อยทีเดียว
“อย่างนั้นรึ?” มู่หย่าหลันกล่าวเสียงเย็นชาขึ้นมา
หวู่เสียนยวี่ยืดอกขึ้นและกล่าวว่า “ถูกต้อง ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเป็นสิ่งที่เกิดจากกำลังกายกำลังสมองของเหล่าบรรพบุรุษ ไม่ว่าใครที่เป็นศิษย์คนใดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะก็ตามก็ไม่ต้องการเห็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะตกต่ำลง ยิ่งต้องการเห็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะต้องก้าวเดินไปสู่การล่มสลายจากการกระทำที่เป็นเผด็จการของหุบเขาอมตะ ดังนั้น ในเวลานี้ศิษย์ใดๆ ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะมีสิทธิ์ไปสองส่อง มีสิทธิ์ไปก้าวก่าย ให้ทุกคนเข้าใจว่า ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะไม่ได้มีไว้เฉพาะหุบเขาอมตะเท่านั้น แต่เป็นของทุกๆ คน ถ้าหากหุบเขาอมตะยังคงจะทำตามอำเภอใจก็สมควรมีผู้ที่มาขัดขวาง เป็นต้นว่าแคว้นว่านโซ่วและหรือสำนักอื่นๆ!”
กลุ่มคนรุ่นใหม่ยังไม่ทันมีปฏิกิริยากับคำพูดของหวู่เสียนยวี่ แต่ระดับรุ่นอาวุโสจำนวนไม่น้อยพลันรู้สึกใจหายใจคว่ำ และได้สติคืนกลับมา
นาทีนี้ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสฟังและเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหวู่เสียนยวี่นั้นยืนอยู่ข้างของแคว้นว่านโซ่ว และพวกเขาเมื่อนึกถึงผู้ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังของหวู่เสียนยวี่แล้ว มีจำนวนไม่น้อยที่ต้องเสียวสันหลังวาบ
“ข้าเองก็เห็นด้วยกับคำพูดเช่นนี้” จางเหยียนพูดขึ้นมาทันทีว่า “ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม อาศัยคุณสมบัติประสบการณ์และอาวุโสนับเป็นอะไรได้ ผู้ที่มีความสามารถเท่านั้นที่ควรเป็นผู้นำ ไม่สามารถอาศัยฐานะศิษย์พี่คนหนึ่งก็กดพวกเราลงทั้งหมด ยิ่งไม่สามารถอาศัยคำพูดของหุบเขาอมตะว่าอย่างไรก็ต้องตามนั้น ถ้าหากแค่อาศัยฐานะของศิษย์พี่ใหญ่ก็กดพวกเราได้ เช่นนั้นแล้วพวกเรานับเป็นอะไร? ต่อให้เป็นหุบเขาอมตะก็ต้องแสดงกำลังความสามารถออกมา จึงจะสยบผู้คนได้!”
ใช่ว่าจางเหยียนต้องการเป็นกบฏต่อหุบเขาอมตะ เพียงแต่จงใจเป็นปฏิปักษ์กับหลี่ชิเย่เท่านั้น เขาเพียงถือโอกาสเท่านั้น แต่กลับเข้าทางของหวู่เสียนยวี่
พลันที่จางเหยียนพูดคำพูดนี้ออกมา ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับใจหายใจคว่ำ คำพูดคำนี้ของจางเหยียนในระดับหนึ่งถือเป็นตัวแทนของสำนักไป่ตัน จะอย่างไรเสียเขาก็คือศิษย์ของสำนักไป่ตัน
“เศษสวะ” หลี่ชิเย่เพียงเอ่ยขึ้นมาเฉยเมย ขี้คร้านจะมองดูเขาสักครั้งด้วยซ้ำ
จางเหยียนพลันโมโหสุดขีดเมื่อถูกหลี่ชิเย่ด่าว่า ‘เศษสวะ’ เขามีบุญคุณความแค้นกับหลี่ชิเย่มาแต่เดิมอยู่แล้ว การตีลังกากลิ้งไปมาในดินโคลนนับว่าอับอายมากพอแล้ว เวลานี้ยังถูกหลี่ชิเย่ด่าโดยตรงว่าเป็นเศษสวะ แล้วจะให้เข้ากล้ำกลืนกับความเคียดแค้นนี้ได้อย่างไร?
“เจ้าคนแซ่หลี่ เจ้ากล้าแข่งวิชาปรุงกลั่นยาเม็ดหรือไม่” จางเหยียนร้องกล่าวด้วยความโกรธ “มิฉะนั้นล่ะก็ เจ้าไม่มีสิทธิ์เป็นผู้แทนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะในการจุดธูปก้านที่หนึ่งนี้!”
“นี่คือจุดยืนสำนักไป่ตันของพวกเจ้าอย่างนั้นรึ?” แววตามู่หย่าหลันเย็นยะเยือก กล่าวน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมา
สีหน้าของจางเหยียนพลันแดงก่ำขึ้นมาทันที รู้สึกได้ถึงขนหัวลุก แต่ทว่าเขาเหมือนขี่หลังเสือ เวลานี้เขาจะยอมอ่อนข้าให้ไม่ได้ โดยเฉพาะมีผู้คนจำนวนมากอยู่ในเหตุการณ์ ถ้าหากเขายอมอ่อนข้อให้ล่ะก็ จะส่งผลกระทบต่ออำนาจบารมีของเขาอย่างยิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...