สถานที่ลึกลับแห่งนั้นมีแม่น้ำที่ไหลหลั่ง ต้นไม้แก่ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ริมแม่น้ำ ต้นไม้แก่ได้ผุกร่อนไปแล้ว มีกิ่งที่หักโค่นและรากที่เน่าผุตกลงไปในแม่น้ำ สุดท้ายไหลไปตามน้ำล่องไปสู่ปลายน้ำเบื้องล่าง
ต้นไม้แก่ต้นนี้ก็คือต้นหวู๋ถงนกหงส์นั่นเอง สำหรับกิ่งไม้แก่ที่ร่วงหล่นและไหลไปตามน้ำ สุดท้ายตกลงมาจากน้ำตกและไหลไปเรือนโอสถ ก็คือประวัติความเป็นมาของเย่ามู่อันเลื่องลือของเรือนโอสถนั่นเอง เย่ามู่ที่ว่าก็เป็นเพียงรากและกิ่งไม้ที่ผุกร่อนของต้นหวู๋ถงนกหงส์ที่จมลงผ่านกาลเวลาอย่างยาวนาน
หลี่ชิเย่นั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น ปล่อยจิตใจให้ว่างและล่องลอยไปภายใต้ต้นหวู๋ถงนกหงส์ มองเห็นเขาเปิดลัคนาออกมา ต้นไม้ดึกดำบรรพ์เปล่งประกายออกมา และผลสัจธรรมลูกสนที่อยู่บนกิ่งไม้โอนแอนไปตามสายลมที่พัดโชยมาเบาๆ ขณะที่ผลสัจธรรมลูกสนโอนแอนไปมานั้น เสมือนดั่งโลกธาตุนับล้านล้านก็สั่นไหวโคลงแคลงไปด้วย สัจธรรมหมื่นยุคก็อยู่ท่ามกลางการสั่นไหวโคลงแคลงดังกล่าว ทำให้ผู้คนรู้สึกจิตใจหวั่นไหวและตาลาย
ต้นหวู๋ถงนกหงส์ได้แผ่แสงสีเขียวลงมา เปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา ประกายของแสงที่ตกลงสู่ต้นดึกดำบรรพ์ ทำการประดับประดาให้ต้นไม้ดึกดำบรรพ์ดูงดงามน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เหมือนว่าเป็นการนำพาซึ่งความมีชีวิตชีวาให้กับโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล
แต่ว่า สิ่งนี้หาใช่เป็นการให้เพียงฝ่ายเดียว ขณะที่ต้นดึกดำบรรพ์ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของดึกดำบรรพ์นั้น เหมือนว่าต้นหวู๋ถงนกหงส์ถือกำเนิดอยู่ในโลกที่ยังไม่ได้แยกออกเป็นฟ้าดิน โลกลักษณะเช่นนี้สามารถมอบสารอาหารที่ต้นหวู๋ถงนกหงส์ต้องการทุกอย่าง เหมือนว่าภายในระยะเวลาอันสั้น ต้นหวู๋ถงนกหงส์ดูจะอ่อนวัยขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว คล้ายมีความเป็นไปได้ที่ต้นไม้เหี่ยวเฉากลับคืนสู่ความมีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่
ท่ามกลางสายลมที่พัดฉิวๆ ผลสัจธรรมลูกสนดูจะสุกงอมมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เหมือนว่าจะร่วงลงพื้นดินอย่างนั้น ซึ่งก็จะคล้ายสัจธรรมเป็นล้านล้านร่วงและเกิดขึ้นมาอย่างนั้น ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงฉากนี้ก็จะดูอลังการเป็นอย่างยิ่ง เกรงว่าจะมีโลกนับสิบล้านถือกำเนิดเกิด่ขึ้นในชั่วพริบตาเดียว
แน่นอนที่สุดผลสัจธรรมลูกสนจะไม่สุกงอมและร่วงลงพื้นอยู่แล้ว มันคือผลสัจธรรม เป็นผลสัจธรรมที่คงอยู่ชั่วนิรันดร
บนกิ่งไม้เขียวอีกกิ่งที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา บริเวณตอนปลายของกิ่งดูเหมือนจะมีใบอ่อนสีเขียวที่โผล่ออกมา เหมือนว่าที่ตรงนี้จะมีดอกสัจธรรมดอกหนึ่งเบ่งบานอยู่ที่ตรงนี้ ซึ่งจะมีผลสัจธรรมผลที่สองถือกำเนิดขึ้นที่ตรงนี้ เพียงแต่ทุกอย่างยังไม่ถึงโอกาส เมื่อโอกาสมาถึงทุกอย่างก็จะสุกงอมตามเงื่อนไข ซึ่งจะมีผลสัจธรรมผลที่สองออกดอกติดผลที่นี่ และจำเป็นการต้อนรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด
หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่ใต้ต้นหวู๋ถงนกหงส์ในคราวนี้ ไม่รู้ว่านั่งอยู่นานเท่าไรแล้ว หลังจากเวลาผ่านไปนานมากๆ เขาจึงได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ได้กางนิ้วทั้งห้าออกไปช้าๆ และหมุนไปช้าๆ คล้ายดั่งเป็นหมุนสลักของบานประตูบานหนึ่งให้เคลื่อนไปอย่างนั้น เหมือนต้องการเปิดช่องว่างนี้ออกมา
แว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อมือของหลี่ชิเย่หมุนไปถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว ประกายกาลเวลาระยิบระยับ มันมีประตูๆ หนึ่งถูกเปิดออกมาที่ตรงนี้จริงๆ
คนผู้หนึ่งก้าวผ่านประตูเข้ามา มองเห็นชายของชุดนักพรตปลิวไสว คนผู้นี้ก็คือนักพรตฉางเซินนั่นเอง
หลังจากที่นักพรตฉางเซินเข้ามาแล้ว ได้ยินเสียงดังแว้ค์ดังขึ้น ประตูนี้ได้หายไป
นักพรตฉางเซินมองดูต้นหวู๋ถงนกหงส์ที่อยู่ตรงหน้าแล้วนางถึงกับทอดถอนใจ และกล่าวว่า “ตำนานเป็นเรื่องจริง ปฐมบรรพบุรุษได้ทิ้งธาตุแท้ภายในเอาไว้ที่เขาเก็บสมุนไพรจริงๆ บรรพบุรุษแต่ละรุ่นล้วนแล้วแต่นึกถึงต้นหวู๋ถงนกหงส์ต้นนี้ แต่ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จ”
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ นักพรตฉางเซินได้ทำการสยบระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจะสงบเรียบร้อยแล้ว นางรู้ว่าหลี่ชิเย่ไม่ได้จากไป ดังนั้นนางจึงปีนขึ้นมายังเขาเก็บสมุนไพรและรอหลี่ชิเย่มาโดยตลอด ในที่สุดหลี่ชิเย่ได้เปิดประตูบานนี้ให้กับนาง
“นั่นเป็นเพราะพวกเจ้ามีสิ่งร้องขอเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่ใต้ต้นต้นหวู๋ถงนกหงส์กล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า “บางครั้งมักจะไม่ใช่ไปนึกถึงว่าสิ่งนี้สามารถนำพาสิ่งใดให้เจ้าได้อยู่เสมอๆ แต่เป็นเจ้าที่สามารถทำอะไรเพื่อมัน นี่แหละจึงเป็นธาตุแท้ภายในของสำนักๆ หนึ่ง ธาตุแท้ภายในที่ว่าล้วนแล้วแต่อาศัยการสั่งสมของแต่ละรุ่น…”
“…ถ้าหากทุกคนคิดแต่ว่าธาตุแท้ภายในสามารถนำพาสิ่งใดให้กับตน เช่นนั้นแล้วธาตุแท้ภายในที่มากกว่านั้นก็จะถูกใช้ไปจนหมดสิ้น และสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่ชาญฉลาดและมองการณ์ไกลที่สุดของเซียนโอสถ เขาไม่ได้ทิ้งธาตุแท้ภายในทั้งหมดเอาไว้ในหุบเขาอมตะ แต่เป็นการทิ้งทางหนีทีไล่ ทางแล้วทางเล่าเอาไว้ อย่างน้อยที่สุดสามารถจำกัดการใช้อย่างฟุ่มเฟือยของชนรุ่นหลัง”
“ที่พูดมาก็ถูก” นักพรตฉางเซินพยักหน้าเบาๆ ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้หุบเขาอมตะของพวกเขาเคยมีราชันแท้จริงต้องการพิจารณาใคร่ครวญพินิจพิเคราะห์เขาเก็บสมุนไพร เนื่องจากเชื่อว่าต้นหวู๋ถงนกหงส์คงอยู่จริงๆ และเคยมีปรัชญาเมธีที่เคยคิดย้ายต้นหวู๋ถงนกหงส์กลับมาปลูกที่หุบเขาอมตะ
จะอย่างไรเสีย เรือนโอสถเป็นเรือนโอสถของทุกคน มีความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้อยู่มากมาย ถ้าหากอยู่ในหุบเขาอมตะย่อมแตกต่าง ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา
แต่ว่า ไม่ว่าเหล่าปรัชญาเมธีเหล่านี้จะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถสืบเสาะธาตุแท้ภายในที่เซียนโอสถของพวกเขาทิ้งเอาไว้ในเขาเก็บสมุนไพรได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจะย้ายต้นหวู๋ถงนกหงส์กลับไป
“นี่มันจะแห้งตายอย่างนั้นรึ?” หลังจากที่พิจารณาดูต้นหวู๋ถงนกหงส์อย่างละเอียดแล้ว พบว่าต้นหวู๋ถงนกหงส์มีกิ่งไม้ที่เป็นน้อยมาก ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นกิ่งไม้แห้ง เป็นเค้าลางให้เห็นว่าต้นหวู๋ถงนกหงส์กำลังจะแห้งตาย
“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่พยักหน้าและกล่าวว่า “มันมีชีวิตอยู่มานานเกินไปแล้ว ผ่านมายุคแล้วยุคเล่า หากว่ากันด้วยเรื่องของอายุก็คงใกล้จะหมดอายุขัยแล้ว แน่นอน พูดถึงวงปีของมัน ต่อให้เป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้วก็ตาม ก็ยังมีมีชีวิตอยู่ยืนยาวมากกว่าผู้บำเพ็ญตนจำนวนมาก สามารถยืนหยัดผ่านกาลเวลาอีกยาวนาน”
“ยังมีหนทางช่วยได้ไหม?” ภายในใจของนักพรตฉางเซินถึงกับตระหนกเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ และกล่าวว่า “ในหุบเขาอมตะพวกเรามียาวิเศษจำนวนมาก บางทีอาสามารถช่วยมันได้”
นักพรตฉางเซินก็เป็นยอดฝีมือด้านวิชาปรุงกลั่นยาเม็ด และโอสถ หุบเขาอมตะของพวกเขาสามารถต่ออายุให้กับยอดฝีมือได้ ไม่แน่นักก็อาจสามารถต่อชีวิตให้กับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้ จะอย่างไรเสียในแดนลัทธิพรรษไม่มีใครมีประสบการณ์มากไปกว่าหุบเขาอมตะของพวกเขาแล้ว
“ถามได้ดีมาก” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “สิ่งนี้ต้องดูที่พวกเจ้าสามารถทำอะไรเพื่อมันบ้าง? หากมีวาสนาเช่นนั้นจริง ต้นไม่แห้งเหี่ยวกลับคืนสู่ความมีชีวิตชีวาก็ใช่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...