เวลานี้นักพรตฉางเซินนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ สุดท้าย นางส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “เกรงว่ามันคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ต้นสมุนไพรอมตะต้นนี้มีความหมายที่ไม่ธรรมดาสำหรับหุบเขาอมตะ หากว่าต้องสูญเสียมันไป เกรงว่าหุบเขาอมตะของพวกเราคงเหลือเพียงชื่อเท่านั้น แท้จริงคือล่มสลายไปแล้ว”
“คำว่าคงเหลือเพียงชื่อ แท้จริงคือล่มสลายไปแล้วไปเอามาจากไหนกัน” หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมาและกล่าวว่า “ถ้าหากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่งเพียงแค่พึ่งพาอยู่กับต้นสมุนไพรเซียนต้นหนึ่ง แล้วจะเอาต้นกำเนิดสัจธรรมไว้เพื่ออะไร จะมีธาตุแท้ภายในเพื่ออะไร? หากปราศจากต้นกำเนิดสัจธรรม ปราศจากธาตุแท้ภายใน นั่นแหละที่เรียกว่าคงเหลือเพียงชื่อเ แท้จริงคือล่มสลายไปแล้วที่แท้จริง”
“อีกอย่าง วันนี้ข้าไม่ได้มาปรึกษาหารือกับเจ้าถึงข้อปัญหาที่ว่าได้หรือไม่ได้” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “มาวันนี้ข้าเพียงแจ้งข่าวให้เจ้าทราบเท่านั้น หากได้ย่อมเป็นการดีที่สุด ถึงไม่ได้ก็ต้องได้ ไม่มีทางที่จะเจรจาพูดคุยกันได้ ข้าเพียงแจ้งให้ทราบเท่านั้นเอง”
“นี่มันเกินไปแล้ว” นักพรตฉางเซินถึงกับส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “พวกเราไหนเลยต้องให้ถึงจุดนี้?”
“ไม่ใช่เกินไป แต่จะต้องเป็นเช่นนั้น” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “ข้าต้องการมันใช่เป็นเพราะมันมีความเป็นอมตะ แต่เป็นเพราะประวัติความเป็นมาของมัน ต้นกำเนิดของมัน ความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของมัน ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเจ้าไม่อาจรับรู้ได้ และหาใช่สิ่งที่พวกเจ้าสามารถบรรลุได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้ข้าก็ต้องเอามาให้ได้ มันอยู่ในมือของหุบเขาอมตะพวกเจ้าก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก”
“ต่อให้ข้าเห็นด้วย เหล่าบรรพบุรุษก็ไม่เห็นด้วย” นักพรตฉางเซินถึงกับนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“หากไม่เห็นด้วย คงต้องบอกว่าข้าได้แต่อาศัยกำลังหยิบเอาไป ถึงตอนนั้นอย่าโทษว่าข้าไม่ได้บอกกันก่อน” หลี่ชิเย่ยิ้มๆ
สีหน้าของนักพรตฉางเซินถึงกับบึ้งตึง จ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “คำพูดของเจ้าเกินไปแล้ว ชั่วดีอย่างไรพวกเราก็เป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง”
“ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแล้วอย่างไร?” หลี่ชิเย่จ้องมองพลาง กล่าวด้วยท่าทีอมยิ้มว่า “ข้าไม่หวั่นกระทั่งเป็นศัตรูกับแดนลัทธิพรรษ แล้วไหนเลยจะต้องไปใส่ใจกับการเป็นศัตรูกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง? ในเมื่อข้ามาแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจกับใครทั้งสิ้น ต่อให้เป็นแดนสามเซียนข้าก็ไม่ได้ใส่ใจกับใครทั้งสิ้น ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าหากฉลาดและมีสายตาที่ยาวไกล รู้กาลเทศะ อนาคตยังสามารถทำให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้รวดเร็วเป็นพิเศษ แต่หากยึดติดอยู่กับความโง่เขลา นั่นคือการรนหาที่ตายเอง”
“เจ้าคิดว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะของพวกเราคือสำนักที่สุดแล้วแต่ใครเขาจะบีบเล่นก็ได้จริงหรือ?” นักพรตฉางเซินถึงกับจ้องเขม็งอย่างเคืองๆ
“ไม่ ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง กล่าวท่าทีจริงจังว่า “ข้าแค่คิดว่า ใครขวางข้า ฆ่าไม่มีละเว้น ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะเป็นสำนักที่แข็งแกร่งเช่นใด”
นักพรตฉางเซินจ้องมองดูท่าทีที่เรียบเฉยของหลี่ชิเย่ เวลานี้นางถึงกับนิ่งเงียบขึ้นมา หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นบางทีอาจจะอาละวาดก็ได้ จะอย่างไรเสียมีไม่กี่คนที่สามารถอดทนต่อการที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของตนถูกดูแคลน ยิ่งไปกว่านั้น หุบเขาอมตะเพิ่งจะทำลายแคว้นว่านโซ่วลงหมาดๆ เรียกได้ว่าเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็อาจเข้าใจว่าหลี่ชิเย่นั้นกล่าววาจาโอหังอวดดี ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่รู้จักคำว่าตาย
แต่ภายในใจของนักพรตฉางเซินเข้าใจเป็นอย่างดีว่า หลี่ชิเย่ไม่ได้พูดล้อเล่น และไม่ได้โง่เขลาอวดดี ไม่ได้กล่าวาจาสามหาว เมื่อไหร่ที่มีการลงมือ เกรงว่าคงถึงขั้นฟ้าถล่มดินทลาย
แม้จะกล่าวว่านักพรตฉางเซินมีความเชื่อมั่นในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของตนเองมาก ต่อให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะของพวกเขาเทียบไม่ได้กับพรรคหยางหมิง จูเซียงหวู่ถิง แต่ยังคงสามารถต่อต้านกับภัยอันตรายนับไม่ถ้วนและวิกฤตต่างๆ
เพียงแต่หากหลี่ชิเย่ลงมือจริงๆ ในใจของนักพรตฉางเซินก็ขาดความมั่นใจไปโดยพลัน เนื่องจากนางเองก็ไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่ที่ตนเองต้องเผชิญนั้นน่ากลัวเช่นใด
“คนอย่างข้ายังนับเป็นผู้ที่ว่ากันด้วยเหตุผลอยู่แล้ว มิฉะนั้นแล้วก็ไม่กลายเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งของเจ้า และไม่บอกว่าจะช่วยพวกเจ้าทำลายแคว้นว่านโซ่ว” หลี่ชิเย่หัวเราะ และกล่าวว่า “พวกเจ้าใจป้ำข้าก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน ข้าขอต้นสมุนไพรอมตะต้นนี้ของพวกเจ้า ก็จะให้ของขวัญชิ้นหนึ่งให้พวกเจ้าเช่นกัน”
กล่าวพลางหลี่ชิเย่ได้หยิบเอาสิ่งของออกมาสิ่งหนึ่ง ได้ยินเสียงดังตูม ปรากฎเชื้อไฟเต้นวูบวาบอยู่บนฝ่ามือของหลี่ชิเย่
‘เชื้อดึกดำบรรพ์หมื่นอัคคี’ แม้ว่าภายในใจของนักพรตฉางเซินจะได้เตรียมใจเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว มองเห็นเชื้อไฟเต้นวูบวาบอยู่บนฝ่ามือของหลี่ชิเย่ นางยังคงต้องทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง และประทับใจยิ่งนัก
“เจ้าเองก็รู้อยู่แล้ว นี่แหละคือวาสนาระหว่างเจ้ากับข้า” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย
“เชื้อไฟสุดยอดที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้า มีความสัมพันธ์กับแหล่งกำเนิดเผ่าไฟชนิดแยกกันไม่ออก” นักพรตฉางเซินก็พยักหน้ายอมรับ
นักพรตฉางเซินไม่เพียงเป็นแค่เจ้าสำนักของหุบเขาอมตะ ขณะเดียวกันนางมีชาติกำเนิดมาจากเผ่าไฟ กล่าวสำหรับเผ่าไฟของพวกเขาแล้ว เชื้อดึกดำบรรพ์หมื่นอัคคีนับว่าล้ำค่ามากเหลือเกิน ล้ำค่ามากจนไม่สามารถบรรยายได้ด้วยตัวอักษร เนื่องจากสามารถวิวัฒนาการความหมายที่ลึกซึ้งของเผ่าไฟพวกเขา เฉกเช่นหลี่ชิเย่ได้ทำการวิวัฒนาการเช่นนั้น นั่นก็คือโล่เซียนเทพอัคคีย้อนอดีต
อีกทั้ง ‘โล่เซียนเทพอัคคีย้อนอดีต’ เป็นเพียงความหมายที่ลึกซึ้งเพียงส่วนหนึ่งเผ่าไฟพวกเขาเท่านั้น ถ้าหากสามารถได้ ‘เชื้อไฟดึกดำบรรพ์’ ก็จะสามารถวิวัฒนาการความหมายที่ลึกซึ้งได้มากยิ่งกว่า
สมควรทราบว่า ภายในหุบเขาอมตะไม่เพียงแต่ตัวของนางในฐานะเจ้าสำนักที่มีชาติกำเนิดมาจากเผ่าไฟเท่านั้น ศิษย์ของหุบเขาอมตะจำนวนมากก็มีชาติกำเนิดมาจากเผ่าไฟ เนื่องจากเซียนโอสถปฐมบรรพบุรุษของหุบเขาอมตะก็มีชาติกำเนิดมาจากเผ่าไฟ
ครั้งนั้น ขณะนักพรตฉางเซินได้พบกับหลี่ชิเย่เป็นครั้งแรกนั้น พลันรับรู้ได้ทันทีถึงเชื้อไฟที่ไม่ธรรมดา ด้วยเหตุนี้เองนักพรตฉางเซินจึงได้พูดว่าหลี่ชิเย่กับนางมีวาสนาต่อกัน มีวาสนากับหุบเขาอมตะ คำพูดนี้ใช่พูดออกมาลอยๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...