หลี่ชิเย่กลับไปยังตำหนักตงกง โดยไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องที่ถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาทแม้แต่น้อย เพียงกล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “รัชทายาท น่าสนใจ” กล่าวพลางเผยรอยยิ้มออกมา
เรื่องนี้ช่างเป็นเรื่องที่น่าปาฏิหาริย์และคาดคิดไม่ถึง ฮ่องแต้ไท่ชิงถึงกับแต่งตั้งหลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งขึ้นเป็นรัชทายาทอย่างน่าประหลาดหาคำอธิบายไม่ได้ ขณะที่หลี่ชิเย่หลังจากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทแล้ว ถึงกับมีท่าทีเหมือนว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างนั้น โดยที่ไม่รู้สึกตกใจกับสิ่งนี้แม้แต่น้อย เหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่ปรกติธรรมดามากเรื่องหนึ่ง
เรื่องราวในนั้นนับว่าแปลกประหลาดจนถึงขีดสุด อาจกล่าวได้ว่าเป็นการกระทำที่ผิดทำนองคลองธรรมอย่างยิ่ง เรื่องนี้หากแพร่ออกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ
ฮ่องแต้ไท่ชิงที่คิดวางแผนอย่างรอบคอบไม่เคยพลาด และรวบอำนาจไว้ทั้งหมดมาชั่วชีวิต ถึงกับแต่งตั้งคนแปลกหน้าคนหนึ่งเป็นรัชทายาท นี่เป็นเพราะชราและสติฟั่นเฟือนไปแล้วชัดๆ ยังจะมีเรื่องใดที่เหลือเชื่อมากไปกว่านี้ได้อีกเล่า
สมควรทราบว่า ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่นั้น ยังไม่ต้องพูดถึงสำนักอื่นๆ และไม่พูดถึงผู้ยิ่งใหญ่อย่างหอหลินไห่เก๋อ ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ แคว้นไป่เจิ้งเหล่านี้ แม้แต่ภายในราชวงศ์โต่วเซิ่นเองก็เต็มไปด้วยผู้ที่มีความรู้ความสามารถ อีกทั้งยังมีอัจฉริยะบุคคลจำนวนไม่น้อยที่มีชาติกำเนิดมาจากสายของฮ่องแต้ไท่ชิง
แม้ว่าบรรดาชนรุ่นหลังที่มีความโดดเด่นเหล่านั้นจะไม่ใช่ลูกหลานของฮ่องแต้ไท่ชิง หรือญาติสนิทของฮ่องแต้ไท่ชิงก็ตาม แต่ทว่า จะอย่างไรเสียก็คือคนในตระกูลเดียวกันกับฮ่องแต้ไท่ชิง มีชาติกำเนิดมาจากสายของราชวงศ์โต่วเซิ่นของพวกเขา ล้วนแล้วแต่ถือเป็นส่วนหนึ่งของราชสำนัก
แต่ว่า ฮ่องแต้ไท่ชิงกลับละทิ้งไม่แต่งตั้งบุคคลที่มีความโดดเด่นจำนวนมากของราชวงศ์โต่วเซิ่น กระทั่งไม่สืบทอดตำแหน่งให้กับบรรดาระดับบรรพบุรุษที่มีกำลังกล้าแข็งเหล่านั้นของราชวงศ์โต่วเซิ่น กลับไปแต่งตั้งคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิงคนหนึ่งเป็นรัชทายาท
นี่มันคือเรื่องที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์สุดๆ เกรงว่านอกจากชื่อของหลี่ชิเย่แล้ว ฮ่องแต้ไท่ชิงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหลี่ชิเย่อีกเลย แต่ว่า เขากลับแต่งตั้งคนแปลกหน้าอย่างหลี่ชิเย่เป็นรัชทายาทเสียอย่างนั้น นี่คือการเสียสติแล้วชัดๆ
หากจะกล่าวว่า ฮ่องแต้ไท่ชิงยกราชบัลลังก์ให้กับซุนหลึ่งหยิ่ง ผู้คนจำนวนมากยังสามารถยอมรับได้ จะอย่างไรเสียซุนหลึ่งหยิ่งนั้นเป็นผู้กุมอำนาจความเป็นความตายมาโดยตลอด แต่ว่า ฮ่องแต้ไท่ชิงกลับไม่ได้ยกราชบัลลังก์ให้กับผู้ที่เขาไว้วางใจมากที่สุดอย่างซุนหลึ่งหยิ่ง กลับยกให้กับหลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
ถ้าหากมีใครที่รู้เรื่องนี้เข้า เกรงว่าคงไม่สามารถเข้าใจได้อย่างสิ้นเชิงว่า เพราะอะไรฮ่องแต้ไท่ชิงจึงได้ทำเช่นนี้
ที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ยิ่งกว่าก็คือ หลี่ชิเย่ที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก ท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่ธรรมดาที่สุดอย่างนั้น
แม้ว่ากล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว แค่ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเท่านั้นไม่นับเป็นอะไรได้ แต่ว่า ท่าทีของหลี่ชิเย่ก็ดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง เขาถึงกับไม่ไปครุ่นคิดว่าเป็นเพราะอะไรฮ่องแต้ไท่ชิงถึงได้แต่งตั้งคนแปลกหน้าอย่างเขาขึ้นเป็นองค์รัชทายาท
หรือจะกล่าวว่า หลี่ชิเย่นั้นมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งถึงแก่นแท้แล้ว ทุกอย่างมีแผนอยู่ในใจแล้ว ดังนั้นเขาจึงมีท่าทีที่เรียบเฉย กล่าวสำหรับเขาแล้วการได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทเป็นเรื่องที่ปรกติธรรมดามากเรื่องหนึ่ง เหมือนว่าทุกวันก็ต้องกินข้าวมื้อเช้าอยู่แล้ว
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มนิดหนึ่งเท่านั้นเมื่อถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท เขาไม่ได้กล่าวอะไรมากความ ลึกซึ้งยากจะหยั่งถึง ไม่มีใครรู้ว่าในใจของเขาคิดอะไรอยู่
ในวันที่หลี่ชิเย่ถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทนั่นเอง ก็ได้มีคนผู้หนึ่งมาคารวะและรายงานตัวต่อหลี่ชิเย่
องค์ชาย…ผู้ที่มาพบได้คารวะต่อหลี่ชิเย่ และกล่าวด้วยท่าทีที่เคารพว่า “ข้าน้อยได้รับคำบัญชาจากฝ่าบาท ให้มารายงานตัวต่อองค์ชาย”
ผู้ที่เดินทางมารายงานตัวต่อหลี่ชิเย่เป็นผู้ที่แลดูเหมือนเป็นชายวัยกลางคน เขามีรูปหน้าที่ดูมีคุณธรรมมาก ภาพรวมของเขาแลดูซื่อตรงมาก เค้าโครงบนใบหน้าดูแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว เหมือนแกะสลักขึ้นมาจากหินผาอย่างนั้น
เขามีคู่ดวงตาที่สุกใสคล้ายดั่งอัญมณี เผยให้เห็นประกายที่ผึ่งผายภูมิฐานสง่าผ่าเผยและเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังออกมา
เขาสวมชุดสีดำทั้งชุด ภาพรวมแลดูมีสติปัญญาและชำนาญอย่างยิ่ง เผยให้เห็นถึงกลิ่นอายความเป็นทหารสายหนึ่งบนตัวของเขา รวดเร็วดุดันแต่ก็เฉยเมย และให้ความเคารพยิ่ง
ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้พวยพุ่งกลิ่นอายที่แข็งแกร่งและพาลออกมา แต่ว่า ท่วงท่าของเขากลับมีท่วงทำนองของผู้ที่ชำนาญเรื่องการเจรจาหว่านล้อม ถ้าหากเป็นผู้ที่ตาถึง พลันที่มองเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคือระดับอมตะ
ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะนะเนี่ย หลังจากที่หลี่ชิเย่มาถึงแดนลัทธิราชันแล้ว ได้พบเจอระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะมาคนแล้วคนเล่า
แต่ว่า เรื่องนี้ใช่เป็นเรื่องแปลก หากพูดถึงในแดนลัทธิพรรษแล้วล่ะก็ ผู้ดำรงอยู่ในขั้นอมตะนับเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมาก ดำรงอยู่ในฐานะที่สูงเด่น แต่ว่า ในแดนลัทธิราชัน แม้ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะจะยังคงมีความแข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกรเช่นกัน แต่ห่างไกลไม่ได้ล้ำค่ามากนักเฉกเช่นอยู่ที่แดนลัทธิพรรษ
ยิ่งไปกว่านั้น ราชวงศ์โต่วเซิ่นคือราชวงศ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนลัทธิราชัน ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแดนลัทธิราชัน ภายใต้ราชวงศ์ลักษณะเช่นนี้มีระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะอย่างเพียงพอ ซึ่งไม่นับเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด
ถ้าหากไม่มีระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะมากมายเช่นนี้ ไหนเลยจะปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้ทั้งหมด และยืนหยัดอยู่บนจุดสูงสุดของแดนลัทธิราชันได้อย่างไรกัน
“เจ้าชื่ออะไร…” หลี่ชิเย่เอ่ยถามขณะมองดูชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า
“เรียนองค์ชาย ข้าน้อยมีชื่อว่าจางเจี๋ยตี้ เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์ของฝ่าบาท เวลานี้ฝ่าบาทมีคำบัญชาให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์ขององค์ชาย ข้าน้อยสุดแต่องค์ชายจะบัญชาสั่งการ” ชายวัยกลางคนมีสีหน้าเข้มขรึมเอาจริงเอาจัง และยืนตัวตรงดั่งท่อนไม้
ถ้าหากมีคนของราชวงศ์โต่วเซิ่น หรือระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้ยินชื่อของ ‘จางเจี๋ยตี้’ จะต้องรู้สึกตื่นตระหนกยิ่งนัก
จางเจี๋ยตี้ หัวหน้าองครักษ์ข้างกายของฮ่องแต้ไท่ชิง คือระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง แม้ว่าจะห่างชั้นเทียบไม่ได้กับผู้ที่สูงส่งอย่างฮ่องแต้ไท่ชิง และเทียบไม่ได้กับซุนหลึ่งหยิ่งที่มีความแข็งกร้าวในการเข่นฆ่าสังหาร แต่ว่า เขายังคงเป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งยิ่ง เป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แท้จริง
สมควรทราบว่า เฉกเช่นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะอย่างฮ่องแต้ไท่ชิง ระดับเทพแท้จริงทั่วไปไหนเลยมีสิทธิ์ได้เป็นหัวหน้าองครักษ์ให้กับเขาได้ ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะเช่นจางเจี๋ยตี้ที่เป็นหัวหน้าองครักษ์ให้กับฮ่องแต้ไท่ชิงได้นั้น นับเป็นเรื่องบังเอิญแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...