ในเวลานี้ ปิงฉือเกามองไปที่หลี่ชิเย่ทีหนึ่ง ชายหนุ่มที่ธรรมดาจนไม่รู้จธรรมดาคนหนึ่งนั่นเอง ต่อให้เคยฝึกยุทธมาก่อนก็เป็นแค่ตัวเล็กตัวน้อยเท่านั้นเอง จึงไม่ได้มองหลี่ชิเย่อยู่ในสายตา
จะอย่างไรเสียปิงฉือเกาคือผู้ที่มาจากต่างเมือง ไม่เคยรู้เรื่องของหลี่ชิเย่ที่เป็นจอมมารน้อยในร่างมนุษย์คนนี้
“เจ้าหนู ไสหัวออกไป ตระกูลปิงฉือกำลังทำงานอยู่ที่นี่ กล้าทำให้ตระกูลปิงฉือพวกเราเสียงานล่ะก็ มีโทษถึงตาย!” ปิงฉือเกากล่าวน่าเกรงขามออกมาโดยไม่ได้ใส่ใจในหลี่ชิเย่
การที่ปิงฉือเกามีท่าทางที่โอหังอวดดีเช่นนี้ก็ไม่แปลก จะอย่างไรเสียหลี่ชิเย่ดูไปแล้วเป็นเพียงผู้บำเพ็ญตนที่อ่อนด้อยมากๆ คนหนึ่งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลปิงฉือของพวกเขานับเป็นหนึ่งในห้าผู้แข็งแกร่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ตัวเขาในฐานะศิษย์ที่เป็นสายตรงของตระกูลปิงฉือ ไหนเลยจะมองผู้บำเพ็ญตนน้อยๆ ที่อ่อนด้อยคนหนึ่งอยู่ในสายตาเล่า
“ถ้าหากข้าไม่ไสหัวไปล่ะ?” หลี่ชิเย่พลันเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น
“ไม่ยอมไสหัว…” ปิงฉือเกามองหน้าหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง แววตาดูน่าครั่นคร้าม กล่าวน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “หักขาทั้งสองของเจ้า ให้เจ้าคลานออกไป”
“ดุขนาดนี้เชียว ยังจะมีกฎหมายรึ?” หลี่ชิเย่ทำท่าเหมือนหวาดหวั่นพรั่นพรึง ยักไหล่ขึ้นสูง
“กฎหมายรึ?” ปิงฉือเกาหัวเราะน่าครั่นคร้าม และกล่าวน่าเกรงขามขึ้นว่า “เจ้าไม่ดูให้ดีว่าเป็นศัตรูกับใคร? เป็นศัตรูกับตระกูลปิงฉือพวกเรา พวกเราก็คือกฎหมาย!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา และสัมผัสฝ่ามือหัวเราะเสียงดัง กล่าวว่า “แม่งน่าสนใจเหลือเกิน ในเมืองกัวชางเฉิงถึงกับมีคนบอกว่าเขาคือกฎหมายต่อหน้าข้า แม่งขำกลิ้งเลยจริงๆ”
“เจี๋ยตี้ เจ้าบอกข้ามาสิ ในเมืองกัวชางเฉิง ไม่สิ ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ใครคือกฎหมาย” หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
“นายน้อยก็คือกฎหมาย” จางเจี๋ยตี้ตอบโดยที่คราวนี้ไม่ได้เอ่ยคำว่า ‘องค์ชาย’ ออกมา
“ได้ยินแล้วยัง” หลี่ชิเย่ยิ้มแต้กล่าวว่า “ข้าก็คือกฎหมาย ดังนั้น พวกเจ้ารีบไสหัวไปจากคุณชายอย่างข้ายังทัน มิฉะนั้นล่ะก็ ข้าอยากจะพิจารณาสักครั้งเลยจริงๆ”
สีหน้าของปิงฉือเกาพลันเปลี่ยนไป ผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งถึงกับกล้าเอะอะโวยวายต่อหน้าเขา เขาหัวเราะน่าครั่นคร้ามทีหนึ่ง และกล่าวน่าครั่นคร้ามขึ้นมาว่า “เจ้าหนู อย่านึกว่ามังกรแกร่งจะไม่สยบเจ้าถิ่น อย่าคิดว่าเจ้าสามารถหาคนหนุนหลังนิดหนึ่งในเมืองหลวงได้ก็เข้าใจว่าตนเองนั้นเก่งกาจ ตระกูลปิงฉือของข้าเคยมองตระกูลไหนอยู่ในสายตาแล้วล่ะ?”
ปิงฉือเกาสั่งการเสียงดังกับคนข้างกายว่า “ลงมือ จัดการหักขาสองข้างของเขาเสีย ให้เขาได้รู้จักกฎหมายของตระกูลปิงฉือพวกเรา!”
“เจ้าหนู เจ้าเส่หาเรื่องเอง” ในเวลานี้เอง ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นที่ติดตามปิงฉือเกามาหัวเราะเย้ยหยันทีหนึ่ง ถลกแขนเสื้อขึ้นท่าทางดุร้ายดั่งเสือและหมาป่า ยื่นมือเข้าไปคว้าตัวหลี่ชิเย่
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น มือของพวกเขายังไม่ทันได้คว้าตัวหลี่ชิเย่ พลันก็ถูกจับทุ่มลงกับพื้นอย่างหนัก ได้ยินเสียงกระดูกแตกละเอียด จนไม่ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก
อยู่ต่อหน้าจางเจี๋ยตี้แล้ว พวกเขาเสมือนดั่งมดปลวกอย่างนั้น ไม่คู่ควรจะกล่าวถึงเลย
“เจี๋ยตี้ เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจข้าเลย” หลี่ชิเยิ้มกล่าวว่า “ข้าเป็นคนเช่นใด? นักเลงหัวไม้ รู้จักความหมายของนักเลงหัวไม้หรือไม่ แน่นอน คนที่เห็นแล้วขัดหูขัดตาก็ฆ่าทิ้งให้หมด!”
จางเจี๋ยตี้ไม่ได้เลิกกระทั่งหนังตา มองเห็นประกายเยือกเย็นแวบหนึ่ง ได้ยินเสียงดังปุ เลือดสาดกระจาย บรรดาชายฉกรรจ่ของตระกูลปิงฉือหัวหลุดจากบ่าทั้งหมด เลือดสดๆ ไหลนองเต็มพื้นดิน
ศีรษะเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีดวงตาที่เบิกโพลง ไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องเสียงน่าเวทนาออกมา
ปิงฉือเกาพลันมีใบหน้าที่ขาวซีดเมื่อเห็นคนข้างกายถูกกสังหารไปในชั่วพริบตา ร้องเสียงดังขึ้นมา และกล่าวว่า “เจ้า เจ้า เจ้าเป็นใคร?”
“ข้าหรือ?” หลี่ชิเย่ยิ้มๆ ชี้ไปที่จมูกของตนเองว่า “ข้าก็คือกฎหมายน่ะสิ กฎหมายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่!” กล่าวพลางเดินเข้าหาปิงฉือเกา
“เจ้า เจ้า เจ้าอย่าเข้ามานะ…” ปิงฉือเการู้สึกหวาดกลัว หันหลังวิ่งหนีทันทีเมื่อเห็นหลี่ชิเย่
ปังเสียงหนึ่งดังขึ้น ปิงฉือเกาวิ่งหนีไปได้ไม่ถึงสองก้าวก็ถูกทำให้ล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง จนลุกไม่ขึ้น
“เฮ่อทำไมถึงได้มีคนอ้างกฎหมายต่อหน้าข้าเล่า?” หลี่ชิเย่ยิ้มและส่ายหน้าแล้วเดินเข้าไปหา ยกเท้าขึ้นและกระทืบลง ปังเสียงหนึ่งดังขึ้น เท้าได้กระทืบหน้าอกของปิงฉือเกาอย่างแรง ได้ยินเสียงดังคร๊ากกก หน้าอกยุบลงไปทันที กระดูกซี่โครงถูกเหยียบจนหัก ปิงฉือเกากระอักเป็นเลือดออกมา
หลี่ชิเย่ย่อตัวลงมองดูปิงฉือเกา ยิ้มแต้และกล่าวว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมเจ้าจึงยังมีชีวิตอยู่?”
“เจ้า เจ้า เจ้าอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ ข้า ข้า ข้าคือศิษย์ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ เจ้า เจ้า เจ้ากล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ตระกูลปิงฉือพวกเราไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่” ปิงฉือเกาถูกทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อขึ้นมา
“ตระกูลปิงฉือ” หลี่ชิเย่ถึงกับเอามือปั่นหูแล้วยิ้มกล่าวกับจางเจี๋ยตี้ว่า “อ้อ ข้านึกตระกูลปิงฉือขึ้นมาได้แล้ว เจี๋ยตี้ ตาเฒ่าคนนั้นของตระกูลปิงฉือมีชื่อว่าอะไรแล้วนะ ชื่อ ชื่อ ชื่อปรมาจารย์สูงสุดอะไรนั่นนะ ข้ารู้สึกว่าเขาขี้โม้มากเลย ฝีมือแค่นั้นยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นปรมาจารย์สูงสุดของตระกูลปิงฉืออะไรนั่น”
“ปิงฉือเจี๋ยจุน” จางเจี๋ยตี้กล่าวขึ้นช้าๆ
ปรมาจารย์ผู้มีตำแหน่งสูงสุดแห่งตระกูลปิงฉือก็คือหนึ่งในห้าปรมาจารย์สูงสุดที่มาพบกับฮ่องเต้ไท่ชิงเมื่อครั้งก่อนนั่นเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...