แม้ว่าราชวงศ์โต่วเซิ่นจะเงียบสงบยิ่งนัก หลังจากที่กองทัพหยินมี่ได้หายสาบสูญไปแล้ว หกกองทัพใหญ่อื่นๆ ก็ไม่ได้กระทำการบุ่มบ่าม และแคว้นเจ้าลัทธิอื่นๆ ก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวแม้เพียงน้อยนิด
แต่ว่า นี่เป็นเพียงความสงบก่อนที่พายุฝนฟ้าคะนองจะมาเท่านั้นเอง ไม่ว่าใครก็ตามในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ต่างได้กลิ่นอายที่ไม่สงบและจิตใจที่ไม่สงบสายหนึ่ง
ความจริงแล้ว แม้ว่าหกกองทัพใหญ่ไม่ได้กระทำการใดๆ อีกทั้งบรรดาแคว้นเจ้าลัทธิของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ก็อยู่ระหว่างรอจังหวะบุกโจมตี แต่มีผู้ที่กำลังจะเคลื่อนไหวก่อการกบฏอยู่ลับๆ แล้ว
ลองนึกดู ฮ่องเต้ไท่ชิงเป็นฮ่องเต้มาสามยุคสมัย อำนาจฮ่องเต้ของราชวงศ์โต่วเซิ่นถูกรวมศูนย์อยู่ในขั้นสูงสุดอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน การสั่งสมทั่วทั้งราชวงศ์โต่วเซิ่นไม่ว่าจะเป็นด้านของผืนแผ่นดินหรือทรัพย์สมบัติล้วนแล้วแต่ก้าวไปถึงขั้นทำให้คนทั้งแผ่นดินต้องตาลุกวาวแล้ว เวลานี้ฮ่องเต้องค์ใหม่ไร้ความสามารถ แล้วจะไม่ให้ผู้คนทั่วหล้ารู้สึกอยากได้สิ่งนี้อย่างยิ่ง และกำลังเคลื่อนไหวที่จะก่อการได้อย่างไรเล่า? สำหรับสถานการณ์ใต้หล้านั้น หลี่ชิเย่ไม่ยอมรับรู้ทั้งสิ้น เสมือนหนึ่งไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างนั้น ตรงกันข้าม กลับเป็นจางเจี๋ยตี้ที่กังวลและส่งคนคอยสืบเสาะหาข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ใต้หล้า ให้ความสนใจในสำนักใหญ่ต่างๆ และทุกๆ ความเคลื่อนไหวของหกกองทัพใหญ่
นับว่าจางเจี๋ยตี้มีความจงรักภักดีต่อหลี่ชิเย่อยู่ เขาไม่ต้องการให้แผ่นดินของราชวงศ์โต่วเซิ่นต้องล่มสลายด้วยประการเช่นนี้ เขาคาดหวังสามารถทำอะไรให้กับหลี่ชิเย่ได้บ้าง
แต่จางเจี๋ยตี้จะอย่างไรก็คือจางเจี๋ยตี้ แม้ว่าเขาจะเป็นเทพแท้จริงขั้นอมตะคนหนึ่ง แต่กำลังความสามารถก็มีขีดจำกัด จะอย่างไรเสียท่ามกลางระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ที่เป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิยักษ์ใหญ่นั้น เทพแท้จริงขั้นอมตะมีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
ไม่ว่าจะเป็นด้านธาตุแท้ภายใน หรือว่าบารมีนั้น จางเจี๋ยตี้ดูจะอ่อนไปนิดหนึ่งเทียบไม่ได้กับซุนหลึ่งหยิ่ง จะอย่างไรเสียซุนหลึ่งหยิ่งติดตามฮ่องเต้ไท่ชิงมานานสามยุคสมัยแล้ว อีกทั้ง ยังกุมอำนาจอยู่ในมือ เข่นฆ่าทั่วหล้า ซึ่งทำให้ซุนหลึ่งหยิ่งได้สั่งสมอำนาจบารมีที่สยบทั่วหล้าเอาไว้อย่างเพียงพอ
เฉกเช่นผู้ดำรงอยู่ในฐานะปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดทั้งห้านั้น ซุนหลึ่งหยิ่งยังคงสามารถเอาอยู่ แต่หากเปลี่ยนเป็นจางเจี๋ยตี้ล่ะก็ไม่สามารถทำได้ อย่าว่าแต่ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดทั้งห้าเลย แม้แต่แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพหยินมี่ จางเจี๋ยตี้ก็ไม่สามารถสร้างผลกระทบได้อย่างเพียงพอกับพวกเขา
ความจริงแล้ว ในขณะที่กองทัพหยินมี่กำลังจะถอนทัพจากไปนั้น จางเจี๋ยตี้ได้เคยพยายามหว่านล้อมอย่างเต็มที่ต่อผู้นำกองทัพของกองทัพหยินมี่มาก่อน แต่ว่า ผู้นำกองทัพของกองทัพหยินมี่ไม่ให้เกียรติแก่จางเจี๋ยตี้ ยังคงทำตามอำเภอใจและถอนทัพจากไป
ถ้าหากซุนหลึ่งหยิ่งยังคงอยู่ล่ะก็ ขอคำพูดคำเดียวของเขาก็เพียงพอแล้ว ก็สามารถรั้งกองทัพหยินมี่ได้ทั้งกองทัพ
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ นิดหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้แคร์ และไม่ได้ใส่ใจกับความทุกข์ใจของจางเจี๋ยตี้
“ฝ่าบาท ตระกูลขุนนางปิงฉือได้ส่งตัวสนมมาแล้ว” ขณะที่หลี่ชิเย่ยังคงเอ้อระเหยสบายๆ อยู่นั้น จางเจี๋ยตี้ได้เข้ารายงานต่อหลี่ชิเย่
จางเจี๋ยตี้ก็แค่เรียกว่า ‘พระชายา’ โดยไม่ได้เรียกเป็น ‘ฮองเฮา’ จะอย่างไรเสีย ในครั้งนั้นฮ่องเต้ไท่ชิงได้กำหนดให้มีพระชายารวดเดียวถึงห้าคน ใครจะได้เป็นฮองเฮายังไม่ชัดเจนเลย
“คุณหนูของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือรึ?” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่งและกล่าวว่า “ดูท่ามีความไวมากเหลือเกินนี่ ให้นางมาพบข้าก็แล้วกัน”
“ให้พระชายาได้เตรียมตัวบ้างเถอะ” จางเจี๋ยตี้ถึงกับยิ้มเจื่อนๆ เมื่อเห็นท่าทางของหลี่ชิเย่ที่เหมือนอดใจไม่ไหวอย่างนั้น
“อืมม…” หลี่ชิเย่เพียงตอบรับตามอารมณ์คำหนึ่ง ไม่ได้บอกว่าได้หรือไม่ได้
หลังจากที่พระชายาจากตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือผ่านการชำระล้างกายาและตรียมตัวพร้อมแล้ว ในที่สุดภายใต้การเคียงข้างด้วยนางกำนัลได้เดินทางมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้องค์ใหม่
ได้ยินเสียงเครื่องประดับหยกที่ดังขึ้นเป็นระลอก ท่ามกลางการห้อมล้อมของเหล่านางกำนัล มองเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งก้าวเดินมาช้าๆ หญิงสาวผู้นี้สวมใส่ชุดสีแดงทั้งชุด บนเสื้อได้เดินดิ้นทองและปักรูปหงส์ สูงส่งและมีระดับ ทำให้ผู้พบเห็นทราบได้ทันทีว่าหากไม่ใช่ฐานะสูงส่งก็ต้องมีฐานะร่ำรวย
หญิงสาวผู้นี้ก็คือผู้ที่ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือส่งมาเป็นพระชายา เวลานี้แม่นางของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉืออดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เนื่องจากนางรู้ว่าคืนนี้ฮ่องเต้องค์ใหม่จะต้องนอนร่วมฮ่องเต้องค์ใหม่ ในฐานะที่เป็นแม่นางเป็นสาวรุ่นที่ยังไม่ได้แต่งงานคนหนึ่ง จู่ๆ ต้องมาเป็นเจ้าสาวของผู้ชายคนที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อน ทั้งยังไม่รู้ว่าหน้าตาของผุ้ชายนี้เป็นผู้เฒ่าหรือหน้าตาน่าเกลียดหรือไม่ แล้วจะไม่ให้ภายในใจของนางตื่นเต้นและเป็นกังวลได้อย่างไรเล่า
แม่นางจากตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือมองเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในระยะที่ห่างไกลตรงนั้นแวบหนึ่ง จึงหลับตาลงไม่กล้ามองดูมากนัก เมื่อเดินเข้าไปใกล้ คุกเข่าลงกับพื้นและร้องกล่าวว่า “ถวายบังคมฝ่าบาท”
“เงยหน้าขึ้นสิ” หลี่ชิเย่มองดูหญิงสาวที่ก้มกราบอยู่ตรงหน้า และเอ่ยขึ้นช้าๆ
แม่นางแห่งตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือรู้สึกตะลึงงันนิดหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของชายผู้นี้ดังขึ้นที่ข้างหู เสียงนี้ฟังดูคุ้นๆ อยู่ เหมือนเคยได้ยินมาจากไหนก่อนหน้าอย่างนั้น นางอดที่จะเงยหน้าขึ้นช้าๆ
หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มบางๆ ขึ้นมาเมื่อมองเห็นแม่นางที่อยู่ตรงหน้า ขณะที่แม่นางตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือถึงกับตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก เมื่อได้สติกลับมาแล้วตกใจจนแทบจะกระโดดตัวลอยขึ้นมา
“ลุกขึ้น” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มขึ้นมา โบกมือเบาๆ
สำหรับจางเจี๋ยตี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังหลี่ชิเย่นั้น สายตาพลันเพ่งมองไปข้างหน้า เผยประกายเยือกเย็นออกมา
หลังจากที่แม่นางตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือลุกขึ้นยืนแล้ว ในขณะนี้นางหมดปัญญาที่จะทำอะไร ตัวนางเองก็ยังตะลึงงัน มือคู่นั้นของนางไม่รู้ว่าควรจะวางไว้ตรงไหนดี
“แม่นาง มีวาสนาพบเจอกันได้ทุกที่นะเนี่ย” หลี่ชิเย่ยิ้มแต้เอ่ยขึ้น
“หม่อมฉัน หม่อมฉัน หม่อมฉัน…” ในขณะนี้แม่นางตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร นางไม่นึกไม่ฝันเลยว่า ฮ่องเต้องค์ใหม่ถึงกับเป็นจอมมารน้อยในร่างมนุษย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในทางไม่ดีของเมืองหลวง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...