หลี่ชิเย่ที่เอนนอนอยู่ตรงนั้น เหมือนนอนหลับสนิทไปแล้วอย่างนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้ไปแตะต้องตัวปิงฉือหยิ่งเจี้ยนเลยสักครั้ง ยิ่งไม่ได้ไปลวนลามนาง
การที่หลี่ชิเย่ไม่ได้แตะต้องตัวเองเลยสักครั้ง และไม่ได้ยี่นมือมารมายังตน ทำให้ภายในใจของปิงฉือหยิ่งเจี้ยนถึงกับรู้สึกโล่งอกลับๆ ไปที แต่ก็รู้สึกแปลกๆ ในใจ
การแต่งเข้าวัง นางก็คือคนของหลี่ชิเย่แล้ว หลี่ชิเย่สามารถทำตามอำเภอใจกับนางได้ทุกอย่าง นางไม่มีปัญญาจะต่อต้าน ได้แต่คล้อยตามและสอดรับ แต่ว่า หลี่ชิเย่กลับไม่มีพฤติกรรมที่ไม่อยู่ในกฎในเกณฑ์ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเคยเป็นจอมมารน้อยที่โดดเด่นด้านชื่อเสียงไม่ดี เป็นอันธพาลน้อยที่แย่งชิงหญิงสาวชาวบ้านโดยเฉพาะ
การที่หลี่ชิเย่ไม่แตะต้องตัวเอง ทำให้ภายในใจของปิงฉือหยิ่งเจี้ยนรู้สึกแปลกๆ รู้สึกอ้างว้างอยู่บ้าง เป็นรสชาติที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง
“เจ้าแต่งเข้ามาแทนปิงฉือหานยวี่ ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือตกลงให้ผลประโยชน์อะไรให้เจ้า?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย
ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนถึงกับชะงักนิดหนึ่ง เมื่อถูกหลี่ชิเย่ถามขึ้นมาเช่นนี้ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ นางจึงได้เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ปรมาจารย์รับปากจะให้กิจการบางอย่างแก่พวกเรา ให้ตระกูลพวกเรามีที่พักพิง”
“นั่นมันก็แค่มีสถานที่ที่ให้มีชีวิตรอดได้แห่งหนึ่งเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “จะไม่สามารถเอื้อมไปถึงอำนาจของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือได้ตลอดกาล”
ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายพูดเสียงอ่อยว่า “มีสถานที่สำหรับเอาชีวิตรอดได้ก็นับว่าไม่เลวแล้วล่ะ” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ภายในใจอดที่จะสลดนิดหนึ่งไม่ได้
ครั้งนั้นหลังจากที่ปิงฉืออ๋าวฟ่างพ่ายแพ้สงคราม พวกเขาที่เป็นสายของปิงฉืออ๋าวฟ่างถูกกำจัดอย่างสิ้นเชิงในตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่ราชันแท้จริงพั่วปิงล่ะก็ ไม่แน่นักสายของพวกเขาอาจจะถูกตระกูลของตนเองเข่นฆ่าจนไม่เหลืออีกแล้ว
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม คนในตระกูลของพวกเขาถูกตระกูลตัวเองเนรเทศ ไม่มีที่ที่จะยืน ไม่มีที่ที่จะอยู่ ได้แต่ร่อนเร่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ
มาคราวนี้ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือให้นางแต่งเข้าวังแทนปิงฉือหานยวี่ นางเองไม่อาจไม่ตัดสินใจเลือก เพื่อหาที่อยู่ที่เป็นหลักแหล่งให้กับตระกูลของตนที่ถูกเนรเทศ
“การที่ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือจะถูกทำลายหรือไม่ มันเกี่ยวข้องกับเจ้ามากมายอย่างไร?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนตะลึงงันนิดหนึ่ง สุดท้ายพูดเสียงแผ่วเบาว่า “มัน มันจะอย่างไรเสียก็คือตระกูลของพวกเรา และเป็นสิ่งที่มาจากกำลังกายกำลังสมองของบรรพบุรุษแต่ละรุ่น ดังนั้น ขอ ขอฝ่าบาทถอนรับสั่ง…”
“เรื่องราวบนโลกดั่งเกมหมากรุก เป็นสิ่งที่เจ้าไม่รู้และดูไม่เข้าใจอยู่แล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวตามอารมณ์ว่า “เจ้าก็อยู่ข้างกายของข้า คอยปรนนิบัติข้าก็พอแล้ว”
ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนอ้าปากจะพูด แต่ ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี สุดท้ายได้แต่หุบปากและทอดถอนใจภายในใจทีหนึ่ง
นางเป็นเพียงบุคคลที่ไม่มีความสำคัญคนหนึ่งเท่านั้นเอง นางก็คล้ายดั่งเป็นแหนที่อยู่ภายใต้สายน้ำที่เชี่ยวกรากไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ในครั้งนั้นบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งอย่างปิงฉือเอ๋าฟ่างยังต้องพ่ายแพ้การศึกและเสียชีวิต นางที่เป็นเพียงบุคคลไม่มีความสำคัญคนหนึ่งจะนับเป็นอะไรได้?
ด้านนอกตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ กองทัพทั้งสองฝ่ายตั้งประจันหน้ากัน บรรยากาศตึงเครียดจนถึงขีดสุด
“ฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะนะ” มีผู้อดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นกองทัพใหญ่ตั้งประจันหน้ากัน กลิ่นอายการฆ่ารุนแรง สถานการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุด
“เรื่องนี้พูดยาก” ระดับบรรพบุรุษได้วิเคราะห์ว่า “แม้ว่าตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือจะแข็งแกร่ง แต่ว่า กองทัพทั้งห้าก็ใช่ย่อย ทั้งสองฝ่ายยกออกมาทั้งหมด ใครจะเป็นฝ่ายกำชัยยังพูดยาก ถ้าหากกองทัพหยินมี่ยังอยู่ล่ะก็ ขณะกองทัพทั้งห้าประชิดเมืองเกรงว่าตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือคงไม่กล้าต่อต้าน ต้องยอมแพ้แต่โดยดีทันที เวลานี้ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือได้บังเกิดใจเป็นอื่นแล้ว ไม่ได้มองราชวงศ์โต่วเซิ่นอยู่ในสายตาอีกแล้ว”
ทุกคนรู้สึกว่ามีเหตุผลเมื่อได้ฟังคำพูดของระดับบรรพบุรุษผู้นี้ ขณะที่ฮ่องเต้ไท่ชิงยังอยู่ แม้ว่าตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือแข็งแกร่งมากกว่านี้ก็ต้องยอมก้มหัวให้ ฮ่องเต้ไท่ชิงสั่งให้ไปทางขวา ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือไม่กล้าไปทางซ้ายอย่างเด็ดขาด ไม่กล้าต่อต้านราชวงศ์โต่วเซิ่นอยู่แล้ว
เวลานี้ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ซุนหลึ่งหยิ่งถอนตัวไม่ยุ่งกับโลกภายนอก กองทัพหยินมี่หายสาบสูญ ดังนั้น ภายในใจของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือจึงมั่นใจเต็มเปี่ยม ไม่มองฮ่องเต้องค์ใหม่อยู่ในสายตา และไม่ได้ใส่ใจในราชวงศ์โต่วเซิ่น ด้วยเหตุนี้เอง จึงไม่ยินยอมให้คุณหนูของตระกูลตนเองแต่งเข้าวัง ด้วยการไปตามหาองค์หญิงตกยากมาแต่งเข้าวังแทน
ถ้าหากซุนหลึ่งหยิ่ง และกองทัพหยินมี่ยังอยู่ ต่อให้ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือแข็งแกร่งมากกว่านี้ ยังคงต้องให้ปิงฉือหานยวี่แต่งเข้าวังแต่โดยดี
ตูม ตูม ตูม…จังหวะที่กองทัพใหญ่ทั้งห้ากำลังประจันหน้ากับทัพของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉืออยู่นั้น พลันปรากฏกองทัพอีกทัพหนึ่งขึ้นมา ดั่งคลื่นยักษ์ที่โหมสาดซัดเข้ามา ฝุ่นฟุ้งตลบจนปิดฟ้าบังตะวัน
กองทัพใหญ่ลักษณะเช่นนี้ที่ดั่งคลื่นยักษ์ที่โหมสาดซัดพุ่งเข้ามา ผืนแผ่นดินสั่นไหว ท้องฟ้าสั่นเทา เสมือนดั่งสั่นคลอนฟ้าดินอย่างนั้น ขณะที่กองทัพยังเคลื่อนพลมาไม่ถึง แต่กลิ่นอายการฆ่าก็ได้ตลบอบอวลระหว่างฟ้าดินไปแล้ว
“แคว้นว่านเจิ้น เป็นทัพของแค้วนว่านเจิ้น!” มองเห็นทัพใหญ่ที่มีไพร่พลนับสิบล้านยกเข้ามาดั่งคลื่นยักษ์ที่บ้าคลั่ง
ผู้ชมจำนวนนับไม่ถ้วนต่างสะดุ้งภายในใจ กองทัพนี้ก็คือกองทัพที่มาจากแค้วนว่านเจิ้น การส่งทหารเข้ามาในจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มที่สุดอย่างกะทันหัน จะไม่ทำให้ผู้คนทั้งหมดต้องตกใจได้อย่างไร
แคว้นว่านเจิ้นก็คือหนึ่งในห้าผู้ยิ่งใหญ่ ศักยภาพไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ ที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ แค้วนว่านเจิ้นเชี่ยวชาญในเรื่องของค่ายกล ได้รับกายยกย่องว่ามีค่ายกลที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร ดังนั้น เมื่อไรที่กองทัพแค้วนว่านเจิ้นตั้งเป็นค่ายกลขึ้นมาล่ะก็ไร้เทียมทาน ปราศจากผู้ต่อกร
“แคว้นว่านเจิ้นยกทัพมาเพื่อช่วยฮ่องเต้ หรือว่าช่วยตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือเล่า?” พลันที่มองเห็นแค้วนว่านเจิ้นส่งกองทัพเข้ามาดั่งคลื่นที่บ้าคลั่งมายังตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ สร้างความกระวนกระวายให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยในเวลานี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...