ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ดูจะเงียบสงัดอย่างยิ่ง ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างเฝ้าดูสถานการณ์ว่าจะพัฒนาไปทิศทางใด เมื่อเห็นภายในพระราชวังได้มีระบบป้องกันแต่ละชั้นที่ปรากฏขึ้นมา
ในเวลานี้เอง ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่สายตามองไปที่ห้าผู้ยิ่งใหญ่อย่างหอหลินไห่เก๋อ วัดจิ้งเหลียนกวาน และสำนักเสินสิงเหมิน ทุกคนต่างก็อยากจะรู้ว่าสามผู้ยิ่งใหญ่นี้จะมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง
ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือกับแคว้นว่านเจิ้นได้กลายเป็นพันธมิตรไปแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไร้ข้อกังขาใดๆ อีกทั้งพลันที่สำนักทั้งสองอย่างพวกเขาได้ร่วมมือกัน เดิมพวกเขาก็คือผู้ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ก็จะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในทันที
ในเวลานี้ทุกคนต่างก็อยากจะรู้ว่าท่าทีของหอหลินไห่เก๋อ วัดจิ้งเหลียนกวาน สำนักเสินสิงเหมินพวกเขาจะยืนอยู่ข้างฝ่ายพวกของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ ร่วมมือล้อมปราบราชวงศ์โต่วเซิ่นด้วยกัน หรือว่าสนับสนุนราชวงศ์โต่วเซิ่นอย่างเต็มที่กันแน่ ด้วยการส่งกำลังทหารเข้าช่วยเหลือเล่า?
แต่ว่า สามผู้ยิ่งใหญ่อย่างหอหลินไห่เก๋อกลับยังคงเงียบกริบ พวกเขาไม่ได้ส่งกองทัพใหญ่ออกไป เหมือนว่าพวกเขาจะยังคงมีท่าทีเฝ้ามองต่อไป
“ไม่มีใครช่วยเหลือฮ่องเต้ เกรงว่าราชวงศ์โต่วเซิ่นคงจะต้องจบเห่กันแล้วล่ะ” ระดับปรมาจารย์อดที่จะพึมพำออกมา เมื่อเห็นว่าไม่มีแคว้นเจ้าลัทธิใดๆ ให้การสนับสนุนฮ่องเต้องค์ใหม่ และไม่มีแคว้นเจ้าลัทธิใดๆ ส่งทหารแม้แต่คนเดียวออกไปช่วยเหลือฮ่องเต้เลย
“น่าเสียดาย หากว่าฮ่องแต้ไท่ชิงยังคงอยู่ กองทัพหยินมี่ยังคงอยู่ไหนเลยจะเป็นดั่งวันนี้เล่า?” ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องทอดถอนใจออกมาด้วยความหดหู่ยิ่งนัก เมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว
จะอย่างไรเสีย การที่ผู้ยิ่งใหญ่เช่นราชวงศ์โต่วเซิ่นยืนหยัดอยู่กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่นั้น ได้ทำให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่กลายเป็นหนึ่งในสามระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนลัทธิราชันในระดับหนึ่ง
ถ้าหากราชวงศ์โต่วเซิ่นล่มสลายลง นั่นย่อมเป็นการบ่งบอกว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่อาจจะต้องตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายที่น่ากลัว เข้าไปอยู่ในไฟสงครามที่น่ากลัว ถึงเวลานั้นแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ไม่เพียงอาจจะหล่นจากความเป็นสามผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น กระทั่งอาจมีความเป็นไปได้ว่าจะถูกตระกูลหลี่ และตระกูลมู่ฉวยโอกาสทำลายก็เป็นได้
เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ที่ยืนหยัดมายุคสมัยนับไม่ถ้วนคงต้องหายวับไปกับตาในชั่วพริยตาเดียวจริงๆ แล้ว
ดังนั้น ก็ได้มีระดับปรมาจารย์จำนวนไม่น้อยที่เปี่ยมด้วยการมองการณ์ไกลเป็นกังวล จะอย่างไรเสียหากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ตกต่ำลงจริงๆ และถูกทำลายไปจริงๆ ล่ะก็ นั่นเท่ากับบ่งบอกว่าพวกเขาที่เป็นสำนักต่างๆ ก็ไม่อาจรอดอยู่ต่อไปได้ เมื่อรังนกถูกคว่ำไหนเลยจะมีไข่นกที่สมบูรณ์ได้อีก
“กองทัพกบฏจะตีเมืองแล้ว…” จังหวะที่กองทัพกบฏยังไม่ทันมาถึงเมืองหลวงนั้น ไม่ว่าจะเป็นเมืองกัวชางเฉิง หรือจะเป็นพระราชวังก็อยู่ในสภาพที่วุ่นวายยุ่งเหยิงแล้ว ที่เมืองกัวชางเฉิงผู้บำเพ็ญตน และประชาชนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างทยอยกันหลบหนี ต่างรีบเร่งหนีออกจากพื้นที่ขัดแย้งแห่งนี้ไป
เนื่องจากกองทัพกบฏกำลังจะเข้าล้อมเมืองแล้ว ไฟสงครามจะถูกจุดขึ้นภายในเมืองกัวชางเฉิงอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นแล้วกองทัพใหญ่ประชิดเมือง ไม่ว่าใครก็มีสิทธิ์ต้องตายอนาถท่ามกลางไฟสงคราม ดังนั้น ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนจึงหลบหนีไปเสียในเวลานี้
ไม่เพียงแต่ผู้บำเพ็ญตน และประชาชนภายในเมืองกัวชางเฉิงที่ทยอยกันหนีตาย ในเวลานี้เอง แม้แต่ทหารองครักษ์ภายในราชสำนัก นางกำนัลก็ตื่นตระหนกยิ่งนัก ภายใต้การจงใจยุยงของหลี่ชิเย่ ทำให้ทั่วทั้งพระราชวังอยู่ในสภาพหย่อนยาน สับสนวุ่นวายเหมือนฝอยขัดหม้อ องครักษ์และนางกำนัล รวมทั้งลูกหลานราชนิกูลก็ได้ทยอยกันหนีออกไปจากที่ตรงนี้
แน่นอนที่สุด ก็มีคนส่วนหนึ่งที่ฉวยโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ขณะที่เหตุการณ์กำลังวุ่นวาย ปล้นสะดมของมีค่าภายในพระราชวัง ดังนั้นในเวลานี้ นอกเหนือจากพระราชวังจะสับสนวุ่นวายไปทั่วแล้ว ทั้งยิงมีสมบัติล้ำค่าจำนวนมากถูกชิงเอาไปจะเกลี้ยงภายในระยะเวลาอันสั้น
ตรงกันข้าม หลี่ชิเย่กลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แม้ว่าภายในพระราชวังจะอยู่ในสภาพที่หยุ่งเหยิงไปทั่ว เขายังคงชมบุปผามองจันทร์ โลกที่สับสนวุ่นวายด้านนอกไม่อาจส่งผลกระทบต่อเขาได้เลย
สำหรับผู้ที่ต้องการหลบหนี และหรือผู้ถือโอกาสปล้นสะดมนั้น หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปสนใจและไม่ควบคุม ปล่อยให้พวกเขาทำตามอำเภอใจ เขาเหมือนเป็นเพียงผู้ชมคนหนึ่งที่มองดูทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างเงียบๆ
“ฝ่าบาท ไปจากที่นี่ตอนนี้ยังทัน” ด้านนอกได้สับสนวุ่นวายไปหมดขณะที่กองทัพยังยกมาไม่ถึง ราชวงศ์โต่วเซิ่นพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้สู้
ขณะที่ทุกคนล้วนแล้วแต่หลบหนีไป จางเจี๋ยตี้ยังคงยืนหยัดจนถึงนาทีสุดท้าย มองเห็นกองทัพใหญ่กำลังจะยกมาถึงอยู่แล้ว จึงได้เกลี้ยกล่อมให้หลี่ชิเย่รีบหนีไป
สำหรับความภักดีของจางเจี๋ยตี้นั้น หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เจี๋ยตี้เอ๊ย เจ้าไปเถอะไม่ต้องสนใจข้า ข้าจะรอจนถึงสุดท้ายน่ะ ข้าอยากจะดูฉากเด็ด หากไม่ได้ดูฉากเด็ดนี้แล้ว คงเสียทีที่ได้เป็นรัชทายาทกับเขาแล้วล่ะ”
“แต่ว่า ฝ่าบาท ข้าศึกประชิดเมือง มีอันตรายรอบทิศ หากฝ่าบาทมีอะไรต้องพลาดพลั้งไป จะให้ข้าน้อยไปเผชิญหน้ากับฮ่องเต้องค์ก่อนในปรโลกได้เล่า” จางเจี๋ยตี้ยังคงพยายามกล่อมให้หลี่ชิเย่ล่าถอยออกไป
“วางใจเถอะ พวกเราจะต้องได้พบกันอีกอยู่แล้ว” หลี่ชิเย่ตบไหล่จางเจี๋ยตี้และยิ้มกล่าวว่า “อีกทั้ง เจ้าไม่จำเป็นต้องไปเผชิญหน้ากับฮ่องเต้องค์ก่อนในปรโลก”
หลี่ชิเย่ยังคงสงบนิ่งสบายๆ ภายใต้การเกลี้ยกล่อมของจางเจี๋ยตี้ครั้งแล้วครั้งเล่า และออกคำสั่งให้เขาไปจากที่นี่
สุดท้าย จางเจี๋ยตี้จนด้วยเกล้า จึงได้แต่คุกเข่าลงกราบและกล่าวด้วยความเคารพว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยไร้ความสามารถ ขอล่วงหน้าไปก่อน ขอฝ่าบาทถนอนพระวรกายด้วย”
“รักษาตัวด้วย” หลี่ชิเย่พยักหน้าและยิ้มกล่าวออกมาตามอารมณ์
จางเจี๋ยตี้จนปัญญา กระทืบเท้าทีหนึ่ง ท้ายสุดได้แต่หันหลังจากไป นำพาคนล่าถอยออกไปจากวัง
หลังจากที่จางเจี๋ยตี้ถอนตัวออกไปจากวังแล้ว หลี่ชิเย่เอนนอนอยู่ในพระราชอุทยาน มองดูแนวป้องกันแต่ละชั้นที่ส่งประกายแวบวับพร่างพราวบนท้องฟ้า ถึงกับเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา และกล่าวว่า “แผ่นดินจะล่มสลายแล้ว ใครกันนะที่จะอดกลั้นเอาไว้ไม่ได้ในที่สุด ข้าอยากจะดูว่าใครกันที่อดกลั้นไม่ไหวแล้วปรากฎตัวขึ้นมากะทันหัน ช่างน่าสนใจเหลือเกิน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...