“ฝ่าบาท แย่แล้ว แม่ทัพทังได้ทรยศแล้ว ฝ่าบาทรีบเสด็จหนีเถอะ” ภายในวังที่สับสนวุ่นวายจนสุดบรรยาย มีขุนนางเก่าแก่ที่มองเห็นหลี่ชิเย่ยังคงรั้งอยู่ในวังด้วยท่าทีเอ้อระเหย ชื่นขมภาพจิตกรรมฝาผนังภายในวังอยู่ขณะกำลังหนี จึงร้องกล่าวเสียงดังออกไปก่อนที่จะหลบหนีไป
หลี่ชิเย่ที่มองเห็นขุนนางเก่าแก่ผู้นี้แบกของพะลุงพะลังก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา โบกมือและยิ้มกล่าวว่า “ไปเถอะ ข้ารู้ว่าควรจะทำอย่างไร”
“ฝ่าบาท รักษาพระวรกายด้วย” เมื่อขุนนางเก่าแก่เห็นว่าหลี่ชิเย่ไม่มีทีท่าว่าจะไปจากที่นี่ จึงกราบคารวะแล้วหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้ว่าแผ่นดินกำลังจะล่มสลาย และวังหลวงจะต้องแตกอย่างแน่นอน แต่ภายในวังหลวงยังไม่มีใครคนไหนที่ต้องการจับตัวหลี่ชิเย่ที่เป็นฮ่องเต้ไปรับรางวัลกับทหารกบฏ
แม้ทุกคนล้วนแล้วแต่กล่าวว่าฮ่องเต้องค์ใหม่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม แต่นางกำนัล มหาดเล็กผู้รับใช้ และเหล่าขุนนางเก่าแก่ต่างไม่รู้สึกว่าฮ่องเต้องค์ใหม่จะมั่วโลกีย์ไร้คุณธรรมตรงไหน
ตรงกันข้าม ฮ่องเต้องค์ใหม่ผ่อนปรนยิ่งนัก แม้แต่ขณะแผ่นดินจะล่มสลายนั้น ก็ยังปล่อยให้คนในวังได้หลบหนีกันตามอำเภอใจ อีกทั้งทรัพย์สมบัติของล้ำค่าภายในวังก็แล้วแต่ใครจะหยิบฉวย ไม่เคยก้าวก่าย ดังนั้น ต่อให้มหาเล็กรับใช้ และขุนนางเก่าแก่จำนวนมากที่ชิงเอาสมบัติแล้วหลบหนีเอาชีวิตรอด ก็ไม่เคยมีใครที่เสียสติถึงขั้นไปจับเอาฮ่องเต้องค์ใหม่ไปรับรางวัลจากทหารกบฏ
ในทัศนะคติของพวกเขามองว่า ฮ่องเต้องค์ใหม่นับว่าดีต่อพวกเขาไม่เลวแล้ว หากขณะแผ่นดินใกล้จะล่มแล้วยังไปจับตัวฮ่องเต้องค์ใหม่ไปขอรับรางวัลจากทหารกบฏล่ะก็ นับว่าสติฟั่นเฟือนมากเหลือเกิน และเนรคุณมากเหลือเกิน
ดังนั้น จึงปรากฏภาพที่น่าสนใจขึ้นมากมาย นางกำนัล มหาดเล็กรับใช้ และขุนนางเก่าแก่ทยอยกันหลบหนีออกไปจากวัง อีกทั้งขณะที่พวกเขาจะหลบหนีไปนั้น ยังคงไม่ลืมที่จะถือโอกาสยึดเอาสมบัติและของล้ำค่าภายในวังมาเป็นของตน นำติดตัวหนีไปด้วย
แต่ทว่า หลี่ชิเย่ที่อยู่ลำพังคนเดียวท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในวัง ดูช่างสบายๆ มีอิสระเสรีอะไรอย่างนั้น ที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ บรรดาขุนนางเก่าแก่ นางกำนัลที่มองเห็นหลี่ชิเย่เดินเฉียดข้างกายของตนขณะกำลังฉกฉวยชิงเอาสมบัติล้ำค่าอยู่ ยังสามารถโค้งคำนับด้วยความเคารพ และเรียก “ฝ่าบาท” ออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็ทำการขนย้ายทรัพย์สินล้ำค่าเหล่านั้นกันต่อไป
ภาพนี้แลดูช่างเป็นธรรมชาติมากเหลือเกิน ช่างสมานฉันท์เหลือเกิน เหมือนว่าปราศจากความขัดแย้งใดๆ แม้แต่น้อยนิด
เอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยด…ประตูเมืองที่หนักอึ้งดังขึ้น ภายใต้คำสั่งของทังเฮ่อเสียง ในที่สุดทหารรักษาพระนครก็ได้เปิดประตูเมืองกัวชางเฉิง และอนุญาตให้กองทัพทั้งห้า ทัพของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ และแคว้นว่านเจิ้นเข้าไปยังเมืองหลวงได้
นาทีนี้ ทังเฮ่อเสียงได้บรรลุข้อตกลงกับราชันแท้จริงปาเจิ้น และแม่ทัพของแต่ละกองทัพ โดยทังเฮ่อเสียงก็ก่อกบฏขึ้นกะทันหัน โดยหันไปยืนอยู่แนวเดียวกันกับพวกของราชันแท้จริงปาเจิ้น
ผู้คนจำนวนไม่น้อยทอดถอนใจออกมาเบาๆ เมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว มีเจ้าสำนักได้เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ท้ายที่สุดแล้ว แม้แต่ทังเฮ่อเสียงก็ไม่สามารถรักษาจุดยืนของตนเอาไว้ได้อย่างมั่นคง”
จะอย่างไรเสีย เมื่อเปรียบเทียบกับห้ากองทัพใหญ่แล้ว ทหารรักษาพระนครนับได้ว่าเป็นทหารสนิทของราชวงศ์โต่วเซิ่นแล้ว อีกทั้งตัวระดับแม่ทัพจำนวนไม่น้อยมีชาติกำเนิดมาจากราชวงศ์โต่วเซิ่น กระทั่งมาจากราชนิกูล ซึ่งแตกต่างจากกองทัพทั้งห้า แม่ทัพของห้ากองทัพมักจะมาจากตระกูลขุนนางโบราณอื่นๆ หรือแคว้นเจ้าลัทธิอื่นในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่!
ยิ่งทังเฮ่อเสียงนั้นก็มีชาติกำเนิดมาจากราชนิกูล เทียบกับแม่ทัพทั้งห้าของห้ากองทัพแล้ว เขายิ่งสมควรรักษาราชวงศ์โต่วเซิ่น รักษาแผ่นดินเอาไว้อย่างมั่นคง
แต่ว่า ท้ายที่สุดแล้วทังเฮ่อเสียงยังคงบรรลุข้อตกลงกับพวกของราชันแท้จริงปาเจิ้น และยืนอยู่ในแนวเดียวกันกับทหารกบฏ เพื่อปราบปรามฮ่องเต้องค์ใหม่
“จะไปโทษแม่ทัพทังก็ไม่ถูก ได้แต่บอกว่าเป็นเพราะฮ่องเต้องค์ใหม่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม ทำให้มนุษย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนโกรธแค้น” มีผู้ที่พูดแก้ตัวให้กับทังเฮ่อเสียง
สำหรับคำกล่าวอ้างเช่นนี้ กระทั่งเรื่องคำกล่าวที่ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ ‘มั่วโลกีย์ ไร้คุณธรรม’ นั้น ระดับบรรพบุรุษจำนวนไม่น้อยเพียงยิ้มๆ เท่านั้นเอง ไม่มีใครถือเป็นเรื่องจริงจัง
การได้นั่งอยู่ในตำแหน่งฮ่องเต้องค์ใหม่เช่นนี้ มั่วโลกีย์ ไร้คุณธรรม หรืออาศัยกำลังฉุดคราหญิงชาวบ้านอะไรทำนองนั้น มันก็แค่เป็นเรื่องขบขันเรื่องหนึ่งเท่านั้น ฮ่องเต้ที่ในมือกำอำนาจสูงสุดในมือ อย่าว่าแต่ผู้หญิงสามถึงห้าคนเลย ต่อให้อัดสาวงามให้เต็มวังหลังหลายหมื่นคนก็ไม่นับเป็นเรื่องแปลก ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ความผิดพลาดหนึ่งเดียวของฮ่องเต้องค์ใหม่ก็คือ ยังไม่สามารถกุมอำนาจในมือให้แน่นเท่านั้นเอง หากว่าในมือของเขามีอำนาจทางทางทหารที่สามารถเกรียงไกรไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินล่ะก็ คำว่ามั่วโลกีย์ ไร้คุณธรรมอะไรนั่นจะมาจากไหนกัน คุณหนูอย่างปิงฉือหานยวี่ยังมิใช่ถือเอาว่าเป็นเกียรติที่ได้แต่งเข้าวัง
ครั้งนั้นในยุคของฮ่องเต้ไท่ชิง ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ หอหลินไห่เก๋อต่างๆ ที่เป็นแคว้นเจ้าลัทธิ ธิดาศักดิ์สิทธิ์ องค์หญิงของพวกเขา ดูกระหายอยากอย่างยิ่งที่หวังจะได้แต่งเข้าวัง อย่างไรก็ตาม ฮ่องเต้ไท่ชิงกลับเมินใส่!
มาวันนี้ ฮ่องเต้องค์ใหม่แค่ต้องการชิงตัวปิงฉือหานยวี่คนหนึ่งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ขณะฮ่องเต้ไท่ชิงยังมีชีวิตอยู่ ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือก็ได้ตอบตกลงเรื่องแต่งงานนี้ และลงนามในสัญญาแต่งงานแล้ว เวลานี้ฮ่องเต้องค์ใหม่ไร้ความสามารถ ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือก็เลยกลับคำเท่านั้นเอง
ที่ว่ามั่วโลกีย์ ไร้คุณธรรม ก็แค่กองทัพกบฏหาข้ออ้างที่ดูดีให้กับตนเท่านั้น
ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ระดับบรรพบุรุษทุกคนย่อมเข้าใจเหตุผลข้อนี้เดี การที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ไร้ความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นข้อหาอะไรล้วนแล้วแต่สามารถยัดให้ได้อยู่แล้ว
“ขอให้ฮ่องเต้องค์ใหม่สละราชย์ ให้ฮ่องเต้ผู้ทรงพระปรีชาขึ้นครองราชย์แทน” ในเวลานี้ทังเฮ่อเสียงกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา เขาได้นำพาทหารด้วยท่าทียิ่งใหญ่มุ่งหน้าสู่วังหลวง
ผู้คนจำนวนไม่น้อยอดที่จะทอดถอนใจด้วยความหดหู่และสะเอื้อนกับเรื่องนี้ เมื่อเห็นกองทัพทั้งทหารและม้าจำนวนมากทำการปิดล้อมวังหลวงจนน้ำยังเล็ดลอดไปไม่ได้ในพริบตาเดียว หลายวันก่อนหน้าราชวงศ์โต่วเซิ่นยังคงรุ่งเรืองปราศจากผู้ต่อกร มาวันนี้วังหลวงกลับถูกทหารกบฏปิดล้อมเอาไว้
ทุกคนต่างก็รู้ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่จบสิ้นกันแล้วเมื่อเห็นวังถูกปิดล้อม ราชวงศ์โต่วเซิ่นที่เจริญรุ่งเรืองก็จบสิ้นลงแล้ว เกรงว่าคำพูดที่ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่สละราชสมบัติให้กับผู้ที่มีความสามารถมากกว่า ก็คงไม่อาจหนีความตายไปได้พ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...