เวลานี้ เทพวายุอดที่จะจ้องมองหลี่ชิเย่อีกครั้งหนึ่ง เพราะอะไรฮ่องเต้ที่ไม่เป็นโล้เป็นพายเช่นนี้ จู่ๆ จึงได้ให้ความสนใจในตำราโบราณและข่าวลับมากมายเช่นนี้กะทันหันกันเล่า
แน่นอน เทพวายุขี้คร้านจะไปสืบสาว โดยเขามองว่าหลี่ชิเย่ที่อยู่ในฐานะฮ่องเต้ที่สิ้นชาติแล้วในเวลานี้ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว ยิ่งกว่านั้น การที่เขาช่วยหลี่ชิเย่ก็ถือว่าได้ชดใช้บุญคุณที่ฮ่องแต้ไท่ชิงได้ให้การส่งเสริมเขาในครั้งนั้น
“เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เดินดูไปก็แล้วกัน ข้าจะสั่งการให้ศิษย์มาดูแลเจ้า” เทพวายุหันหลังจากไปทันที
“เรียกนังหนูคนนั้นของพวกเจ้ามาอุ่นเตียงให้กับข้าก็แล้วกัน” จังหวะที่เทพวายุหันหลังจากไปนั้น หลี่ชิเย่ได้พูดเอ้อระเหยขึ้นมา
คำพูดของหลี่ชิเย่พลันทำให้เทพวายุต้องหยุดชะงัก เจ้าหนูสารเลวนี้ไม่รู้จักกาลเทศะจริงๆ ในเวลาเช่นนี้ยังคงคิดแต่เรื่องบ้าๆ บอๆ เช่นนี้
สุดท้าย เทพวายุไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เพียงส่งเสียงฮึเย็นชาทีหนึ่ง แล้วหันหลังจากไป
หลี่ชิเย่ยิ้มๆ และไม่ได้ใส่ใจ เขาแค่พูดไปตามอารมณ์เท่านั้นเอง ส่วนธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาจะยอมมาปรนนิบัติหรือไม่นั้น เขาไม่เคยนำมาใส่ใจอยู่แล้ว
ตำราสั่งสมเป็นหมื่นพัน หลี่ชิเย่เดินท่องอยู่ท่ามกลางทะเลตำราแห่งนี้ เดินดูตำราที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนผ่านๆ เมื่อมองเห็นที่รู้สึกน่าสนใจโดยบังเอิญก็จะหยิบเอามา เพื่อรอการอ่าน
กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว เขาไม่ได้มีความสนใจแม้แต่น้อยสำหรับบรรดาเคล็ดวิชาและเคล็ดลับของสำนักเสินสิงเหมินนั่น เขาไม่ได้ขาดแคลนเคล็ดวิชาหรือเคล็ดลับอะไรเหล่านี้ สิ่งที่เขารู้สึกสนใจก็คือบันทึกที่เกี่ยวกับแดนลัทธิราชัน หรือแดนสามเซียน กล่าวสำหรับเขาแล้ว บรรดาความลับและเรื่องราวที่มีหลักฐานยืนยันเหล่านี้จึงมีมูลค่าที่แท้จริง และเป็นสิ่งที่ใช้การได้
หลี่ชิเย่คัดไปเลือกไปได้ตำรามาไม่น้อย ซึ่งครอบคลุมกว้างมากมีทุกสิ่งทุกอย่าง สุดท้าย เขาได้กลับไปนั่งที่โต๊ะหินนั่น พลิกอ่านตำราเหล่านั้นอย่างละเอียด
กล่าวสำหรับคนอื่นแล้ว บรรดาตำราประวัติศาสตร์และเรื่องลับนั้น เป็นตำราที่จืดชืดน่าเบื่ออย่างยิ่ง ในสำนักเสินสิงเหมินมีศิษย์ไม่กี่คนที่ยินดีไปพลิกอ่านมัน แต่หลี่ชิเย่กลับอ่านอย่างออกรสออกชาติ ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สิ่งที่คนอื่นมองว่าเรื่องราวที่เป็นความลับและข่าวลือที่ไม่ได้มีการบันทึกอย่างเป็นทางการและมีน้อยคนที่รู้ ดูแล้วไม่เห็นมีอะไรนั้น หลี่ชิเย่กลับสามารถอาศัยตัวอักษรเพียงไม่กี่คำนำมาวิเคราะห์ออกมาเป็นข้อมูลปริมาณมหาศาล สามารถกรองเอาเนื้อหาที่ผู้อื่นไม่สามารถจินตนาการได้
นี่แหละคือจุดประสงค์การมาที่สำนักเสินสิงเหมินของหลี่ชิเย่ สำหรับสิ่งของอื่นๆ นั้นไม่เข้าตาของเขาอยู่แล้ว มิฉะนั้นล่ะก็ ขณะอยู่ที่คลังสมบัติของราชวงศ์โต่วเซิ่นเขาก็คงไม่ถึงกับขี้คร้านจะไปเลือกเอาของวิเศษมาแม้แต่ชิ้นเดียว
ในตำราปราศจากวันเดือน ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว หลี่ชิเย่จึงได้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ในเวลานี้ข้างกายของเขาได้มีคนยืนอยู่คนหนึ่งแล้ว เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง
ชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดที่ตัดมาจากผ้าเก๋อ รูปร่างนับว่าสูงใหญ่ ถ้าหากจะบอกว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้มีจุดเด่นอะไรเป็นพิเศษ นั่นก็คือไร้จุดเด่น เนื่องจากชายหนุ่มผู้นี้เรียกได้ว่าธรรมดาเหลือเกิน ธรรมดาจนหลังจากมองหน้าเขาทีหนึ่งแล้วก็จะลืมหน้าเขาไปเลย ถ้าหากจับตัวเขาปะปนรวมเข้ากับคลื่นมนุษย์ละก็ เขาก็จะถูกกลมกลืนไปกับคลื่นมนุษย์โดยที่ไม่มีใครไปมองเขามากกว่าครั้งหนึ่ง
อะแอม…เวลานี้ชายหนุ่มได้ส่งเสียงไอขึ้นมาคำหนึ่ง เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ได้เงยหน้าขึ้นมา
ความจริงเขาได้มาถึงนานแล้ว เพียงแต่เห็นว่าหลี่ชิเย่กำลังจมปลักอยู่กับทะเลตำราอยู่ตลอดจึงไม่กล้าไปรบกวนเท่านั้นเอง
“ฝ่า ฝ่าบาท…” หลังจากที่ชายหนุ่มได้ส่งเสียงไอแห้งๆ แล้ว ทำท่าลังเลนิดหนึ่ง สุดท้ายยังคงเรียกคำว่า ‘ฝ่าบาท’ สองคำนี้ออกมา เพื่อเป็นการแสดงถึงให้ความเคารพ
“ข้าน้อย ข้าน้อยรับคำสั่งจากปรมาจารย์มาดูแลเรื่องความเป็นอยู่และอาหารการกินของฝ่าบาท” ชายหนุ่มผู้นี้ได้กล่าวขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะให้กับหลี่ชิเย่
ชายหนุ่มผู้นี้ก็รู้ว่าหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าคือใคร เขาก็คือฮ่องเต้ของราชวงศ์โต่วเซิ่น เวลานี้คือฮ่องเต้ที่สิ้นชาติไปแล้ว!
ชายหนุ่มผู้นี้ก็เคยได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับหลี่ชิเย่มาไม่น้อย ฮ่องเต้องค์ใหม่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรมเป็นเรื่องที่รับรู้กันทั่วหล้า แรกทีเดียวชายหนุ่มผู้นี้ยังเข้าในว่าฮ่องเต้องค์ใหม่จะต้องมีหน้าตาที่อัปลักษณ์และไร้ความสามารถคนหนึ่ง เวลานี้เมื่อได้มองเห็นตัวเขาอย่างแท้จริงแล้ว ดูเหมือนว่าจะแตกต่างกับลักษณะที่อยู่ในจินตนาการของตน
“ทำไมรึ นังหนูคนนั้นของสำนักเสินสิงเหมินพวกเจ้าไม่ได้มารึ?” หลี่ชิเย่กล่าวและจ้องหน้าชายหนุ่มทีหนึ่ง
“เอิกกก ไม่ทราบ ไม่ทราบฝ่าบาทหมายถึงใครเล่า?” ชายหนุ่มผู้นี้ยังฟังไม่เข้าใจถึงคำพูดของหลี่ชิเย่
“นางก็คือธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาอะไรนั่นของพวกเจ้า” หลี่ชิเย่โยนตำราที่อยู่ในมือไปตามอารมณ์ และยิ้มกล่าวขึ้น
เอิกกก…ชายหนุ่มผู้นี้หัวเราะแห้งๆ ทีหนึ่ง ได้แต่บอกว่า ”ศิษย์น้องลู่ปิงกำลังบำเพ็ญเพียงอยู่นอกสำนัก ยังไม่ได้เดินทางกลับสำนัก ดังนั้น ท่านปรมาจารย์จึงส่งศิษย์มา”
“การพูดปดต่อหน้าข้าใช่เป็นเรื่องดี” ท่าทีของหลี่ชิเย่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ้มนิดหนึ่งและกล่าวว่า “ดูท่าตาเฒ่าฟงก็เสียดายที่จะให้นางมาล้างเท้าอุ่นเตียงให้กับข้า เอาเถอะ ข้าได้ให้โอกาสไปแล้ว ต่อไปอย่าได้มาขอร้องข้าก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มผู้นี้ตะลึงนิดหนึ่งถึงกับพูดอะไรไม่ออกในเวลานี้ เขาได้ยินเรื่องมั่วโลกีย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่มานานแล้ว ไม่นึกเลยว่าเขาถึงกับเป็นคนพูดตรงขนาดนี้ ถึงกับพูดออกมาตรงๆ ว่าให้ศิษย์น้องลู่ปิงของพวกเขามาอุ่นเตียงให้เขา
เรื่องราวเกี่ยวกับศิษย์น้องต้องแต่งเข้าวังเขาก็ได้ยินมาเช่นกัน เพียงแต่นั่นมันเป็นเรื่องในอดีตแล้ว ฮ่องเต้ในเวลานี้ได้กลายเป็นฮ่องเต้สิ้นชาติไปแล้ว
สมควรทราบว่า ศิษย์น้องลู่ปิงของพวกเขาคือหัวแก้วหัวแหวนของสำนักเสินสิงเหมิน ธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้รับความรักและให้ความสำคัญจากเหล่าบรรพบุรุษเป็นยิ่งนัก ไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มที่มีความฉลาดเป็นเลิศจำนวนเท่าไรในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ขอแต่งงานกับศิษย์น้องของพวกเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...