หลี่ชิเย่ในเวลานี้โอบกอดหลิ่วชูฉิงเอาไว้ ท่าทางการโอบกอดนั้นดูเป็นธรรมชาติและสบายอกสบายใจยิ่งนัก ในขณะนี้เขาได้หลับตาลงเหมือนหนึ่งนอนหลับไปแล้วอย่างนั้น เสมือนว่าเวลานี้เขานอนหลับโดยอุ้มหลิ่วชูฉิงเอาไว้อย่างนั้น
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หลิ่วชูฉิงก็ได้แอบมองหลี่ชิเย่ด้วยความกล้าอีกครั้ง เล็งไปที่คิ้วของเขา นางอยากจะมองดูดวงตาคู่นั้นของหลี่ชิเย่เป็นอย่างยิ่ง แต่ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานางก็ไม่กล้าไปจ้องมองดูดวงตาคู่นั้นของหลี่ชิเย่จริงจังสักที
จังหวะที่หลิ่วชูฉิงกำลังแอบเล็งไปที่คิ้วของหลี่ชิเย่อยู่นั้น นาทีนี้หลี่ชิเย่ได้ลืมตาทั้งสองขึ้นมา
ขณะที่หลี่ชิเย่ลืมตาทั้งสองขึ้นมานั้น ไม่ได้มีกลิ่นอายที่สะเทือนเลื่อนลั่นแต่อย่างใด และไม่ได้มีเหตุการณ์ประหลาดอะไร แต่ทว่าขณะที่หลี่ชิเย่ลืมตาขึ้นจังหวะนั้น ในพริบตาเดียวนั่นเองได้บังเกิดภาพลวงตาขึ้นให้กับหลิ่วชูฉิง เหมือนว่าพริบตาเดียวยามที่หลี่ชิเย่ลืมตาขึ้นนั้นฟ้าดินคือกลางวัน และเหมือนว่ายามที่เขาลืมตาสองข้างขึ้นมาจึงทำให้ฟ้าดินมีกลางวัน
ภาพลวงตาเช่นนี้เป็นอะไรที่ไร้เหตุผลจริงๆ แต่ทว่า ในพริบตาเดียวนี้หลิ่วชูฉิงกลับบอกกับตนเองว่านางได้เห็นภาพนี้จริงๆ หลี่ชิเย่หลับตาฟ้าดินคือกลางคืน หลี่ชิเย่ลืมตาฟ้าดินคือกลางวัน ความผิดพลาดเช่นนี้แม้แต่หลิ่วชูฉิงก็สุดจะจินตนาการ
ในเวลานี้เอง สายตาของหลี่ชิเย่ได้ตกอยู่บนใบหน้าของหลิ่วชูฉิง ในพริบตาเดียวนี้เองเสมือนหนึ่งเป็นแววตาของเขาที่ส่องเข้าไปยังลูกตาดำของหลิ่วชูฉิง
นาทีนี้เอง หลิ่วชูฉิงรู้สึกได้ว่าแววตาของหลี่ชิเย่ ได้ส่องตรงเข้าไปยังหัวใจของตน โดยที่แววตาของเขานั้นให้ความสูขและอบอุ่นอย่างยิ่ง มันให้ความรู้สึกถึงความรู้สึกที่อบอุ่นยามที่แววตาดังกล่าวส่องเข้ามายังหัวใจ และรู้สึกว่าความลับทุกอย่างที่อยู่ภายในใจล้วนแล้วแต่ปราศจากที่ซ่อนตัว เหมือนว่าตนเองยืนเปล่าเปลือยล่อนจ้อนต่อหน้าเขาอย่างนั้น
หลิ่วชูฉิงรับกับแววตาของหลี่ชิเย่ที่จ้องมองมาอย่างไม่รู้ตัว เหมือนว่าหลี่ชิเย่นั้นมีเสน่ห์ชนิดไม่มีสิ้นสุดอย่างนั้น คล้ายดั่งเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดนางเอาไว้ให้ต้องรับแววตาที่จ้องมองมาอย่างไม่รู้ตัว
หลิ่วชูฉิงในเวลานี้จ้องมองไปที่ดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่ พริบตาเดียวนั่นเอง หลิ่วชูฉิงมองเห็นดวงตาที่ลึกล้ำยิ่งนักคู่นั้น โดยที่ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยแรงดึงดูดที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง เมื่อไรที่ถูกดวงตาคู่นั้นดึงดูดเอาไว้แล้วล่ะก็ ทำให้คนผู้นั้นไม่สามารถละสายตาได้อีกต่อไป
ในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง หลิ่วชูฉิงรู้สึกว่าสายตาของตนนั้นเหมือนดั่งแมลงเม่าที่บินเข้าหากองไฟอย่างนั้น ถูกดวงตาคู่นั้นดึงดูดเอาไว้จนพุ่งเข้าหาอย่างไม่คิดชีวิต
เพียงพริบตาเดียวนั้นเอง หลิ่วชูฉิงรู้สึกว่าวิญญาณของตนเหมือนล่องลอยออกจากกายเนื้อเพื่อบินเข้าไปยังดวงตาที่ลึกล้ำยิ่งคู่นั้น และไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแม้ว่าจะต้องหายวับไปกับตาในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง
ในพริบตาเดียวนั่นเอง นางรู้สึกเหมือนว่าตนเองนั้นถูกดูดเอาจิตวิญญาณไปจนหมดสิ้น เหมือนหนึ่งจิตวิญญาณของตนถูกหลี่ชิเย่กลืนกินไปสิ้น รู้สึกว่าร่างของตนพลันหลอมรวมเข้าไปอยู่ภายในร่างกายของหลี่ชิเย่แล้วอย่างนั้น
นาทีนี้ นางรู้สึกว่าตนเองอยู่ห่างจากหลี่ชิเย่ใกล้เหลือเกิน และมีภาพลวงตาว่าเวลานี้เหมือนพวกเขาทั้งสองได้หลอมรวมเป็นร่างเดียวกัน ความรู้สึกที่หลอมรวมซึ่งกันและกันทำให้จิตใจของนางอดล่องลอยขึ้นมาไม่ได้ มันช่างมีความสุขเหลือเกิน ช่างเต็มอิ่มอะไรอย่างนั้น เหมือนว่านาทีนี้นางถูกหลี่ชิเย่ครอบครองเอาไว้อย่างสิ้นเชิงแล้วอย่างนั้น
นาทีนี้หลิ่วชูฉิง รู้สึกว่าตนเองนั้นเหมือนอยู่บนก้อนเมฆอย่างนั้น ช่างงดงาม ช่างโชคดี ช่างมีความสุขอะไรอย่างนั้น ในเวลานี้ ภายในใจของนางอดที่จะกระหายอยากให้เวลาหยุดอยู่ที่นาทีนี้ตลอดไป
เวลาเงียบสงัด หลิ่วชูฉิงที่อิงแอบอยู่บนหน้าอกของหลี่ชิเย่ จ้องมองดูหลี่ชิเย่ เหมือนว่าตัวของนางได้หลงทางไปแล้วอย่างนั้น ถูกหลี่ชิเย่ทำให้หลงใหลไปโดยสิ้นเชิง
หลี่ชิเย่นั้นเป็นผู้ซึ่งดำรงอยู่ในสถานะเช่นใด หากเขาต้องการจะสยบผู้หญิงสักคนหนึ่งไม่จำเป็นต้องอาศัยวิชาสามานใดๆ ทั้งสิ้น และไม่จำเป็นต้องอาศัยวิธีการใดๆ อาศัยเพียงความรู้สึกที่แสดงออกผ่านแววตา เท่านั้น ก็สามารถสยบผู้หญิงคนใดก็ได้ ขอเพียงเขาต้องการ!
“ข้ารู้ตัวว่าตนเองนั้นเสน่ห์ไม่มีขีดจำกัด” จังหวะที่หลิ่วชูฉิงกำลังเหม่อลอยอยู่นั้น ข้างหูปรากฎคำพูดที่ไม่ชัดเจนของหลี่ชิเย่ดังขึ้น หัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “เจ้าลุ่มหลงมากเกินไปแล้ว กระทั่งน้ำลายไหลยืดออกมา” กล่าวพลางเป่าลมใส่ข้างหูของนางเบาๆ ทีหนึ่ง
หลิ่วชูฉิงได้สติกลับมาพลันอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีและร้อนผ่าวไปทั้งตัว ใบหน้าแดงก่ำ เมื่อไออุ่นของหลี่ชิเย่ ที่เป่าผ่านข้างหูของนางเบาๆ พลันทำให้นางอ่อนระทวยไปทั้งร่าง ทั้งตัวเหมือนปราศจากกระดูกอย่างนั้น ตัวชาและไร้เรี่ยวแรงอยู่ในอ้อมอกของหลี่ชิเย่
ในเวลานี้ หลิ่วชูฉิงก้มหน้าลงต่ำสุด เอาหน้าตนเองซุกอยู่ในอกอย่างแนบแน่น อับอายจนไม่กล้าพบเห็นผู้คน
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หลิ่วชูฉิงส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ พยายามดิ้นรนลุกขึ้น แต่ว่ามือทั้งสองของหลี่ชิเย่ที่โอบกอดนางเอาไว้นั้นดั่งห่วงเหล็ก พลังดิ้นรนที่อ่อนแอของนางจึงไม่อาจส่งผลอะไรออกมาได้
หลิ่วชูฉิงที่ส่งเสียงออกมาเบาๆ นั้นก็ไม่คิดที่จะลุกขึ้นยืน โดยคว่ำหน้าแนบอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่ คว่ำหน้าอยู่กับอกของหลี่ชิเย่ อับอายจนต้องหลับตา แม้ว่านางจะอับอายจนไม่กล้ามองหลี่ชิเย่ แต่นาทีนี้นางกลับยินดีที่จะคว่ำหน้าอยู่ในลักษณะเช่นนี้นัก
พริบตาเดียวนั่นเอง นางรู้สึกว่าตนเองนั้นเปี่ยมด้วยความสุข เรื่องราวจำนวนมากไม่ได้น่ากลัวเหมือนดั่งที่ตนเองได้จินตนาการเอาไว้
ใบหน้าที่แนบติดอยู่กับอกที่บึกบึนของหลี่ชิเย่ ได้ฟังเสียงหัวใจเต้นที่แข็งแรงและมีพลังของเขา นาทีนี้ภายในใจของหลิ่วชูฉิงไม่ได้มีความตื่นเต้น และหวาดกลัวเหมือนตอนเริ่มแรก กระทั่งความรู้สึกอับอายก็ค่อยๆ สงบลง
ในขณะนี้ นางรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างอยู่ในสภาวะเงียบสงบ ช่างมีความสุข ช่างสุขสบายเหลือเกิน นางยินดีที่จะคว่ำหน้าอยู่กับอกของหลี่ชิเย่เช่นนี้ตลอดไป
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าสิ่งใดล้ำค่ามากที่สุดในโลก? ” ขณะที่หลิ่วชูฉิงกำลังคว่ำหน้าซุกอยู่กับอกของหลี่ชิเย่อยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้พูดเอ้อระเหยขึ้นมา
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ๆ หลิ่วชูฉิงจึงได้สติกลับมาและส่ายหน้าเบาๆ แต่ นางก็อดที่จะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “คือของวิเศษที่ปราศจากผู้ต่อกร เคล็ดวิชาที่เป็นเพียงหนึ่งไม่มีสองใช่หรือไม่? ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...