ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต่างรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง ขณะมองดูศพสิบกว่าศพที่อยู่บนพื้น
“โอ้แม่เจ้า หนีเถอะ” ในที่สุด มีผู้ที่ไม่อาจทนต่อบรรยากาศเช่นนี้ได้ เหินฟ้าขึ้นไปและหลบหนีไปทันที
“ไป…” เมื่อมีผู้นำ ในเวลานี้เองพวกเขาไม่สนใจเรื่องของศักดิ์ศรี หน้าตาอีกต่อไปแล้ว ต่างทยอยกันเหินฟ้าหันหลังหนีไปทันที
ฉึก ฉึก ฉึก…จังหวะที่บรรดาอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้เหินฟ้าขึ้นหมายหลบหนีไปนั้น ปรากฏขวานสองคมหินแต่ละเล่มถูกขว้างออกไป เสมือนดั่งเป็นสายฟ้าฟาดอย่างนั้น ทั้งยังมีความแหลมคมยิ่งนัก
อ๊ากกก อ๊ากกก อ๊ากกก…ในพริบตาเดียวนี้เอง ปรากฏเสียงร้องน่าเวทนาแต่ละเสียงที่ดังขึ้น เลือดสดๆ แตกกระจาย มองเห็นอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่แต่ละคนที่เหินฟ้าหลบหนีนั้น ล้วนแล้วแต่ถูกขวานสองคมหินแทงทะลุอก ปรากฏเป็นรูที่บริเวณหน้าอกของพวกเขา จากเสียงร้องที่น่าเวทนา เลือดสดๆ พุ่งทะลักออกมา และศพได้ร่วงลงมาจากท้องฟ้าสูง
เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ศพแต่ละศพที่จากท้องฟ้าหล่นลงมาถึงพื้น เมื่อร่วงลงมาถึงพื้นก็ได้ตายสนิทไม่ไหวติงอีกต่อไป
“อย่าหนี…” มองเห็นทางออกทุกทางล้วนแล้วแต่ถูกองครักษ์หินปิดกั้นเอาไว้ โดยไม่สามารถหลบหนีไปได้อยู่แล้ว เมื่อใดที่เหินฟ้าขึ้นไปก็จะถูกองครักษ์หินสังหาร
ยอดฝีมือที่มีอาวุโสมากกว่าร้องกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา เดิมบรรดาผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่คิดจะเหินฟ้าขึ้นไปต่างหยุดอยู่กับที่
ปัง ปัง ปังในเวลานี้เอง องครักษ์หินที่ปิดกั้นทางออกทุกทางเหล่านั้นได้ก้าวเดินเข้ามาหาพวกเขาทีละก้าวๆ ขวานสองคมหินที่อยู่ในมือของพวกเขาส่งประกายเยือกเย็นแวบวับน่ากลัวออกมา
มองเห็นองครักษ์หินที่บีบเข้ามาทีละก้าวๆ ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดจำต้องถอยหลังไป จากการทีองครักษ์หินบีบเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกบีบให้ถอยไปอยู่ด้านหน้าบันไดหินแล้ว หากยังคงถอยต่อไปก็ต้องถอยไปหาหลี่ชิเย่แล้ว
“เวลานี้ควรจะทำอย่างไร?” ในเวลานี่ ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ถูกบีบให้ถอยไปรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนต่างคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นใด พวกเขาได้แต่ถามความเห็นจากยอดฝีมือที่มีอาวุโสมากกว่า
แต่ทว่า บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มีอาวุโส กระทั่งระดับบรรพบุรุษตระกูลขุนนางโบราณ ในเวลานี้พวกเขาก็จนปัญญา และไม่รู้จะทำอย่างไร เนื่องจากเหล่าองครักษ์หินแข็งแกร่งมากเหลือเกิน ต่อให้พวกเขาร่วมมือกันก็ไม่สามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้
“จะทำอย่างไร? ยังจะทำอย่างไรได้?” ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หินยิ้มแต้และกล่าวว่า “ในเวลานี้ พวกเจ้านอกจากคุกเข่าให้กับฮ่องเต้อย่างข้า ยกยอฮ่องเต้อย่างข้าคนนี้ สวามิภักดิ์ต่อฮ่องเต้องค์นี้แล้ว พวกเจ้าคิดว่ายังมีทางออกทางอื่นอีกหรือไม่? ถ้าหากพวกเจ้าคุกเข่าและเยินยอจนข้ามีจิตใจเบิกบาน เกิดใจอ่อนขึ้นมา ไม่แน่นักอาจสามารถละเว้นให้พวกเจ้าไม่ต้องตาย”
คำพูดของหลี่ชิเย่เสมือนดั่งเสียงสวรรค์ เหมือนว่าได้ชี้ทางสว่างให้กับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ซึ่งกำลังสับสนงุนงงอยู่
ก่อนหน้านี้เกรงว่าคงไม่มีใครใส่ใจกับคำพูดของหลี่ชิเย่ ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่สูญเสียอำนาจแล้วนับเป็นตัวอะไร ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง
แต่ว่า ในเวลานี้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน
“ฝ่าบาทหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี…” ในที่สุด เวลานี้เองได้มีผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ทนรับความกดดันเช่นนี้ไม่ได้ ตุบพลันเข่าอ่อนทั้งสองข้างคุกเข่าลงกับพื้นทันที และทำการกราบเป็นการใหญ่ กล่าวว่า “ฝ่าบาทปราศจากผู้ต่อกรชั่วนิรันดร์ บ่าวโง่เขลา ถูกใบไม้ใบเดียวบังตา ขอฝ่าบาททรงไว้ชีวิตด้วย”
เมื่อมีผู้นำคุกเข่าลง ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยทลายแนวป้องกันที่อยู่ภายในใจ จึงมียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนทยอยกันคุกเข่าลง ร้องกล่าวเสียงดัง “ฝ่าบาทหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี ฝ่าบาทปกครองชั่วนิรันดร์”
ในเวลานี้ ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากต่างแย่งกันคุกเข่าลง เมื่อเห็นว่าคนที่คุกเข่ามีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ต่างทยอยกันคุกเข่าลงกับพื้น และส่งเสียงดังขึ้นมาว่า “ฝ่าบาททรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ปกครองใต้หล้า ขอฝ่าบาททรงไว้ชีวิตให้บ่าวสักครั้ง…”
ในขณะนี้ ด้านล่างบันไดหินปรากฏคนที่คุกเข่าเต็มพื้นที่ไปหมด ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต่างก็ได้คุกเข่าลง อีกทั้งผู้ที่อยู่ด้านหลังได้แย่งกันคุกเข่าลงด้วยเกรงว่าตนเองนั้นจะเป็นผู้ที่คุกเข่าลงเป็นคนสุดท้าย เกิดทำให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่พอใจ ไม่แน่นักพวกเขาอาจจะต้องหัวหลุดจากบ่าในทันที
ครั้นทุกคนได้คุกเข่าลงแล้ว ก่อนที่หลี่ชิเย่จะออกปากไม่มีใครกล้าที่จะลุกขึ้นมา ทุกคนล้วนแล้วแต่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นอย่างอกสั่นขวัญแขวน ภายในใจกลัวจนตัวสั่นงันงก รอคอยการลงทัณฑ์จากหลี่ชิเย่
“ดูไปแล้วพวกเจ้าก็ไม่ได้หัวแข็งมากอย่างที่คิดนี่” หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่ตรงนั้นมองดูคนที่คุกเข่าเต็มพื้นที่ด้วยท่าทียิ้มแต้ ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “เห็นมั้ยล่ะ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่คุกเข่าอยู่ตรงนี้แล้วนี่ ง่ายกว่าที่จินตนาการเอาไว้มากทีเดียวนี่”
ขณะที่หลี่ชิเย่พูดคำพูดนี้ออกมานั้น ทุกคนที่คุกเข่าอยู่ในเวลานี้ล้วนแล้วแต่มีใบหน้าที่แสบร้อน ก่อนหน้านั้นมีใครบ้างที่จะมองหลี่ชิเย่อยู่ในสายตา ฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นเพียงสวะ เป็นเพียงฮ่องเต้ทรราชที่เหลวไหลไร้ความสามารถคนหนึ่งเท่านั้นในสายตาของพวกเขา ผู้คนจำนวนเท่าไรที่เชิดใส่เขา ผู้คนจำนวนเท่าไรที่หยามเหยียดเขาอยู่ในใจ ผู้คนจำนวนเท่าไรคิดจะเหยียบเขาให้อยู่ใต้ฝ่าเท้า?
แต่ว่า เวลานี้บรรดาผู้ที่เคยเหยียดหยามต่อฮ่องเต้องค์ใหม่เหล่านั้น ยังคงคุกเข่าอยู่ที่ตรงนี้แต่โดยดี คุกเข่ารอการลงทัณฑ์จากฮ่องเต้องค์ใหม่ด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
ความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังสร้างความอึดอัดให้กับผู้อยู่ในเหตุการณ์อย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ พวกเขามีใครบ้างที่ไม่มองว่าตัวเองนั้นสูงเด่นเหนือผู้อื่น พวกเขาช่างยโสเสียเหลือเกิน ในสายตาของพวกเขามองว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ที่เฉกเช่นสวะอย่างนี้ไม่มีสิทธิ์มาปรากฎตัวที่งานเลี้ยงยิ่งใหญ่นี้เสียด้วยซ้ำ เอาล่ะสิ เวลานี้พวกเขากลับต้องคุกเข่าสรรเสริญเยินยอต่อฮ่องเต้องค์ใหม่ ร้องขอให้ละเว้นชีวิตของพวกเขา
เวลานี้ สิ่งที่เรียกว่าหยิ่งยโส สิ่งที่เรียกว่าถือดีของพวกเขาไม่มีค่าแม้แต่อีแปะเดียว แตกละเอียดเกลื่อนเต็มพื้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...