“อยู่ในใจ?” คำพูดนี้ทำให้คนอย่างมังกรทองแปดแขน วัวคลั่งถึงกับงุนงงไปนิดหนึ่ง พวกเขาต่างไม่เข้าใจเหตุผลของคำพูดคำนี้
“ในใจ” ปิ้งจวินกลับมีความละเอียด และมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า อดที่พึมพำและพิจารณาคำพูดคำนี้ของหลี่ชิเย่อย่างละเอียด
“เปิดประตูออกแล้ว พวกเราก็สมควรออกไปได้แล้ว เกรงว่าข้างนอกคงมีคนเขารอจนรนไปหมดแล้ว” หลี่ชิเย่มองไปบนท้องฟ้า อดที่จะเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา
ในเวลานี้ ดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่เพ่งไปข้างหน้า ได้ยินเสียงแว้งค์ดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง ในพริบตาเดียวนั่นเอง ทั่วทั้งตัวของหลี่ชิเย่ปรากฏประกายที่แวบวับ พริบตาเดียวกันนี้ บนตัวของหลี่ชิเย่ไม่มีพลังที่สะเทือนเลื่อนลั่น ไม่มีอนุภาพที่ปราศจากผู้ต่อกร แต่ว่า ขณะเขายืนอยู่ที่ตรงนั้น ได้ให้ความรู้สึกผู้คนที่ไม่สามารถก้าวข้ามอย่างหนึ่ง
หลี่ชิเย่ยืนยืนอยู่ที่ตรงนั้นนั่นแหละ แต่ให้ความรู้สึกที่สูงตระหง่านปลอดภัย เหมือนว่าเขาคือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะไม่สามารถสั่นคลอนได้ตลอดกาล การยืนอยู่ที่ตรงนั้นของเขาเสมือนดั่งเป็นป้ายบอกกาลเวลาอย่างนั้น ต่อให้กาลเวลาได้ไหลรินไปนานนับล้านล้านปี ต่อให้สายน้ำแห่งกาลเวลาที่พลุ่งพล่านทำการพุ่งเข้าปะทะและกัดกร่อนตัวเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ยังคงสูงตระหง่านไม่หวั่นไหว ทุกอย่างมีเพียงตัวเขาที่สูงตระหง่านไม่เคลื่อนไหว ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขาเป็นได้เพียงผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาเท่านั้นเอง
แกร่งดังหินผา ยืนหยัดตั้งสูงตระหง่าน ในเวลานี้ความรู้สึกที่หลี่ชิเย่ให้กับพวกของปิ้งจวินคือเช่นนี้ สิ่งที่หลี่ชิเย่ให้กับพวกเขาในขณะนี้หาใช่ความแข็งแกร่ง แต่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถสั่นคลอนได้
สิ่งนี้หาใช่อยู่ในขอบเขตของพลังอีกต่อไปแล้ว มันได้หลุดพ้นจากพลังและความลึกซึ้งยอดเยี่ยมทุกอย่าง สิ่งนี้คือสิ่งที่ไม่ซับซ้อนแต่ก็เป็นสิ่งที่ยากที่สุด นั่นก็คือจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร!
จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ดั่งหินผาไม่ขยับเขยื้อน เป็นจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ต่อให้กาลเวลาเคลื่อนผ่านไปก็ไม่อาจสั่นคลอนได้ และไม่สามารถลบเลือนไปได้
พวกปิ้งจวินต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำเมื่อได้มองเห็นภาพนี้แล้ว รู้สึกหวั่นไหวในใจยิ่งนัก พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นเทพแท้จริงขั้นอมตะ ผ่านอุปสรรคมานับไม่ถ้วน เมื่อก้าวมาถึงระดับเช่นพวกเขาแล้ว จึงค่อยๆ ตระหนักถึงความล้ำค่าของจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร
แต่ทว่า ยามเมื่อผู้คนจำนวนมากแข็งแกร่งจนถึงระดับนี้แล้ว และค่อยๆ ตระหนักถึงความล้ำค่าของจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรแล้วนั้น แต่ว่าเวลาไม่คอยท่าพวกเขาอีกแล้ว พวกเขาคิดจะสร้างจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งไม่หวั่นไหวสักดวงหนึ่ง ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว
เมื่อถึงวันนั้น ไม่ก็พวกเขาได้อยู่ในระยะบั้นปลายของชีวิต เหลือเวลาอีกไม่มาก ไม่ก็มีความปมด้อยอยู่ในใจ ไม่สามารถที่จะควบคุมจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตนได้อีกแล้ว
ในพริบตาเดียวนั่นเอง สิ่งที่พวกปิ้งจวินรับรู้ได้หาใช่ความแข็งแกร่งของหลี่ชิเย่ แต่เป็นจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงนั้นที่ไม่สามารถสั่นคลอนได้ของหลี่ชิเย่ เป็นจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่งที่แกร่งดั่งหินผา จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรลักษณะเช่นนี้ปราศจากพลังใดๆ สามารถสั่นคลอนมันได้ แม้แต่กาลเวลาที่น่ากลัวที่สุดก็ไม่สามารถลบเลือนมันได้ มันเสมือนดั่งคงอยู่เป็นนิรันดร์อย่างนั้น เหมือนดั่งคงอยู่ไม่เป็นนิรันดร์ไม่มีล่มสลาย
นี่แหละจึงจะเป็นความแข็งแกร่งที่แท้จริง ความแข็งแกร่งประเภทนี้หาใช่ราชันแท้จริง หรือปฐมบรรพบุรุษสามารถเอื้อมถึงได้ ความแข็งแกร่งลักษณะเช่นนี้เป็นการแซงล้ำหน้าทุกสิ่ง ยามที่เขายืนอยู่ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลานั้น สิ่งมีชีวิตจำนวนเท่าไร ระดับปราศจากผู้ต่อกรจำนวนเท่าไร ท้ายที่สุดแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ว่า เขายังคงยืนหยัดอยู่ตรงนั้น ก้าวข้ามกาลเวลาเป็นล้านล้านปี
นาทีนี้ พวกปิ้งจวินต่างรู้สึกหวั่นไหวสุดเทียบเทียม รู้สึกหวั่นไหวในใจจนยากจะได้สติคืนกลับมา เปรียบกับหลี่ชิเย่แล้วพวกเขาก็แค่มดปลวกเท่านั้นเอง
ในเวลานี้ พวกเขาจึงตระหนักอย่างแท้จริงว่าตนเองนั้นห่างชั้นกับหลี่ชิเย่ตรงไหน ไม่ใช่ช่วงห่างระหว่างพลัง แต่เป็นจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่งที่ไม่อาจสั่นคลอนได้
แว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น หลังจากผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ ขณะปิ้งจวินได้สติกลับมานั้น มองเห็นบนท้องฟ้าปรากฏแสงสว่างแวบวับขึ้นมาทีหนึ่ง ท่ามกลางเสียงช่องว่างที่กระเพื่อมดังแว้งค์ แว้งค์ แวงค์ดัง่ขึ้นเป็นระลอก มองเห็นบนท้องฟ้าค่อยๆ ปรากฏประตูบานหนึ่งเปิดออกมา
“ดูนั่น นั่นก็คือประตู” พวกของมังกรทองแปดแขนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ขณะมองเห็นประตูลักษณะเช่นนี้ค่อยๆ เปิดออก อดที่จะร้องเสียงดังขึ้นมาว่า “นี่ก็คือทางออก”
อย่าว่าแต่พวกของมังกรทองแปดแขนเลย แม้แต่ปิ้งจวินก็มีสีหน้าที่เผยให้เห็นถึงความดีใจ ท่าทางก็ไม่สามารถสะกดความดีใจเอาไว้ได้เช่นกัน อดที่จะพึมพำขึ้นมาว่า “ในที่สุดก็จะได้ออกไปแล้ว”
“นึกไม่ถึงเลยว่าช่วงชีวิตที่ยังเหลืออยู่สามารถไปจากสถานที่บ้าๆ นี้ได้” เทพไฉไลหงส์พิษก็อดที่จะพึมพำออกมา น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความดีใจที่ไม่สิ้นสุด
“ฮ่า ฮ่า ฮ่าได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกแล้ว ผีเฒ่าไท่ชิง อย่างน้อยที่สุดพวกเรามีชีวิตยืนยาวมากกว่าเจ้า ชาตินี้รอวันที่จะส่งเจ้าลงนรกได้แล้ว” วัวคลั่งอดที่จะร้องออกมาด้วยความดีใจ เมื่อมองเห็นประตูที่ปรากฏขึ้นมา
“แบบ แบบนี้ก็เปิดประตูได้แล้ว” อวี่เหยียนเซินมองดูประตูที่ถูกเปิดออกมา อดพูดเสียงร้องไห้สะอื้นเบาๆ เต็มไปด้วยการทอดถอนใจที่บอกไม่ถูก
ก่อนหน้านั้น เพื่อให้สามารถหนีออกไปจากคุกหลวงดึกดำบรรพ์ พวกเขาเรียกได้ว่าคิดหาวิธีมาแล้วทุกวิธี ขอเพียงเป็นวิธีที่สามารถคิดได้ พวกเขาล้วนแล้วแต่ลองมาแล้วทั้งสิ้น แต่ ยังคงไม่สามารถค้นหาประตูของคุกหลวงดึกดำบรรพ์จนพบได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจะเปิดประตูของคุกหลวงดึกดำบรรพ์แล้ว
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า เวลานี้การเปิดประตูของหลี่ชิเย่ถึงกับง่ายดายเพียงนี้ เป็นการเปิดแบบตรงๆ ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร เป็นเรื่องที่พวกเขาฝันไม่ถึง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...