แม้ว่าบนถนนจะมีผู้คนที่เดินกันอย่างเร่งรีบ แต่ว่าหลี่ชิเย่กลับเอ้อระเหยเป็นพิเศษ ก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ดูเอ้อระเหยยิ่งนัก
“ผู้มีพระคุณ…” ขณะที่หลี่ชิเย่เดินทอดน่องบนถนนอยู่นั้น ทันใดนั้นข้างกายมีผู้ร้องเสียงดังขขึ้นมากะทันหัน ก้มศีรษะคารวะทันที คนผู้นี้เป็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง
หลี่ชิเย่มองดูผู้เฒ่าผู้นี้แล้วไม่ได้อยู่ในความทรงจำ แต่ว่า ผู้เฒ่าผู้นี้ดูจะให้ความเคารพยิ่งนัก หลังจากคำนับแล้วค่อยลุกขึ้นยืน
“คุณชายลืมเก่ากะลาไปแล้วรึ?” เมื่อผู้เฒ่าเห็นว่าหลี่ชิเย่จำตนเองไม่ได้ จึงรีบกล่าวขึ้นมาว่า “คุณชายเคยโจมตีปีศาจต้นไม้ที่หุบเขาลึกจนล่าถอยไป ช่วยชีวิตเก่ากะลาเอาไว้”
เมื่อผู้เฒ่าพูดเช่นนี้ หลี่ชิเย่จึงนึกขึ้นมาได้ว่า เป็นความจริงขณะที่มายังเมืองหมิงลั่วเฉิงนั้นเขาได้ถือโอกาสช่วยเขาเอาไว้ พยักหน้าและกล่าวว่า “ถ้าหากข้าจำไม่ผิด เจ้ามีชื่อว่าหวูโหย่วเจิ้ง”
“ถูกต้อง ถูกต้อง” ผู้เฒ่ารู้สึกดีใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าหลี่ชิเย่ยังจำชื่อของตนได้ รีบพยักหน้าและกล่าวว่า “เกากะลาก็คือหวูโหย่วเจิ้ง บุญคุณใหญ่หลวงของคุณชาย เก่ากะลาสลักจดจำไว้ในใจ ไม่มีวันลืมเลือน”
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” หลี่ชิเย่เพียงเอ่ยเรียบเฉยขึ้นมา และไม่เอาเรื่องนี้มาใส่ใจ เดินไปข้างหน้าช้าๆ
หวูโหย่วเจิ้งรีบก้าวเท้าเดินตามขึ้นมา กล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าว่า “ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะได้พบคุณชายที่นี่ คุณชายคือผู้ทีทักษะยุทธสูงส่ง สามารถพบกับคุณชายอีกครั้งนับเป็นโชคดีของเก่ากะลา นิกายซูสือของเก่ากะลาก็อยู่ในเมืองหมิงลั่วเฉิง หากคุณชายไม่รังเกียจเชิญเข้าไปนั่งจะเป็นไร? ให้เก่ากะลาได้ทำหน้าที่ในฐานะเจ้าถิ่น”
หวูโหย่วเจิ้งเชื้อเชิญหลี่ชิเย่ด้วยความอบอุ่นยิ่ง นอกเหนือจากต้องการตอบแทนบุญคุณหลี่ชิเย่ที่ช่วยชีวิตแล้ว เฉกเช่นหลี่ชิเย่ที่เป็นยอดฝีมือเช่นนี้ หากสามารถเชิญให้ไปพำนักอยู่ในนิกายของตนชั่วคราวก็นับเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง
“ช่างเถอะ ไว้วันหน้าก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่ทำตัวสบายๆ ยิ่ง เอ่ยท่าทีเรียบเฉยขึ้นมา
“ไม่ทราบว่าคุณชายมาที่เมืองหมิงลั่วเฉิงมีธุระอันใด?” หวูโหย่วเจิ้งรีบกล่าวว่า “เก่ากะลามีความคุ้นเคยในเมืองหมิงลั่วเฉิง ถ้าหารคุณชายมีสิ่งใดต้องการให้เก่ากะลาช่วยล่ะก็ ขอคุณชายสั่งการมาได้เลย”
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ เท่านั้นเอง แต่ว่า หลังจากเผยให้เห็นรอยยิ้มแล้วได้มองดูหวูโหย่วเจิ้งทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ถ้าหากเจ้าคิดจะช่วยข้าจริงๆ ข้ากลับมีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง”
“ไม่ทราบเป็นเรื่องอะไร?” เมื่อหวูโหย่วเจิ้งได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่พลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เอ่ยขึ้นทันทีว่า “ขอเพียงคุณชายสั่งการ เก่ากะลาจะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด”
“ก็ไม่ได้เรื่องใหญ่อะไรนัก” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “แค่เรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากเจ้ามีทรัพยากรทั้งแรงคนและเครื่องมือ ก็ให้อพยพประชาชนของเมืองหมิงลั่วเฉิงเสีย ให้พวกเขาไปจากเมืองหมิงลั่วเฉิงให้เร็วที่สุด”
เอิกกก…หวูโหย่วเจิ้งถึงกับสะอึกนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ เขาไม่นึกเลยว่าหลี่ชิเย่จะสั่งการให้เขาไปทำเรื่องเช่นนี้ ถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง
“เพราะ เพราะอะไรต้องทำเช่นนี้เล่า?” หวูโหย่วเจิ้งคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก อดที่จะเอ่ยถามขึ้นมา
“เนื่องจากเมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเจ้ากำลังจะล่มสลาย รีบๆ หนีไป หนีไปให้ไกลเท่าไรยิ่งดี ซึ่งจะสามารถเอาชีวิตรอดไปได้” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
“เมืองหมิงลั่วเฉิงจะล่มสลาย” หวูโหย่วเจิ้งถึงกับเหม่อลอย และรู้สึกงงงันเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ คำพูดเช่นนี้เขาใช่จะเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก
“เจ้าคนแซ่หลี่นี่…” จังหวะที่หลี่ชิเย่เพิ่งจะพูดขาดคำ เสียงที่ไพเราะและพาลดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมโชยมาสายหนึ่ง และร่างเงาสายหนึ่งพลันปรากฏอยู่ตรงหน้าหลี่ชิเย่
“ข้าเพิ่งจะเตือนเจ้าไปเมื่อวาน เวลานี้เจ้าก็มาปล่อยข่าวลือให้คนอื่นเขาเข้าใจผิดอีก! เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะสั่งสอนเจ้า…” พลันที่ผู้หญิงคนนี้บุกมาถึงตรงหน้าหลี่ชิเย่ กล่าวเตือนหลี่ชิเย่ด้วยท่าทางดุร้ายยิ่ง
ผู้หญิงที่บุกประชิดถึงด้านหน้าหลี่ชิเย่กะทันหันไม่ใช่ใครอื่นไกล คือหลินยี่เสวี่ยที่มากล่าวเตือนหลี่ชิเย่เมื่อวานนั่นเอง
เดิมทีหลินยี่เสวี่ยกำลังหาซื้อของบนถนน พลันได้ยินเสียงของหลี่ชิเย่ที่กำลังปล่อยข่าวลือทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด จึงอดทนต่อไปไม่ไหว พลันบุกเข้ามาและกล่าวด้วยท่าทีดุร้าย ขาดอยู่เพียงแค่ไม่ได้ชี้หน้าหลี่ชิเย่เท่านั้น
“เสวี่ยเอ๋อร์ อย่าได้ทำกำเริบเสิบสาน” จังหวะที่หลินยี่เสวี่ยกำลังแสดงท่าทีดุร้ายด่าทอหลี่ชิเย่อยู่นั้น หวูโหย่วเจิ้งที่อยู่ด้านข้างได้สติกลับมา เมื่อเห็นศิษย์ของตนถึงกับเสียมารยาทกับผู้มีพระคุณของตนเพียงนี้ รู้สึกตกใจอย่างยิ่งและตวาดเสียงดังขึ้นมาทันที
“อาจารย์…” หลินยี่เสวี่ยก็รู้สึกตกใจเช่นกัน เมื่อมองเห็นหวูโหย่วเจิ้งที่อยู่ข้างกายของหลี่ชิเย่ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าอาจารย์ของตนก็อยู่ที่ตรงนี้ด้วย เมื่อครู่นางได้ยินคำพูดหลี่ชิเย่ที่กำลังปล่อยข่าวลือจึงบังเกิดความโกรธขึ้นมาเต็มอก จึงบุกเข้ามาหาโดยไม่ทันคิดอะไรมาก และนางก็มองไม่เห็นว่ายังมีหวูโหย่วเจิ้งที่ยืนอยู่ข้างกายของหลี่ชิเย่ด้วย
“ยังไม่รีบยอมรับผิดและขอโทษต่อคุณชาย” หวูโหย่วเจิ้งถึงกับจ้องตาถมึงเมื่อเห็นศิษย์ของตนไร้มารยาทเช่นนี้ และกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา
แม้ว่าปรกติแล้วเขาจะรักในศิษย์ของตนมาก แต่เรื่องเช่นนี้ไม่ธรรมดา ยิ่งกว่านั้น หลี่ชิเย่คือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตตนเอาไว้
“ยังไม่รีบยอมรับผิดและขอโทษต่อคุณชาย” หวูโหย่วเจิ้งถึงกับจ้องตาถมึงเมื่อเห็นศิษย์ของตนไร้มารยาทเช่นนี้ และกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา
แม้ว่าปรกติแล้วเขาจะรักในศิษย์ของตนมาก แต่เรื่องเช่นนี้ไม่ธรรมดา ยิ่งกว่านั้น หลี่ชิเย่คือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตตนเอาไว้
“อาจารย์ เห็นชัดๆ ว่าเป็นเขาที่ปล่อยข่าวลืออยู่ที่ตรงนี้ ปล่อยข่าวลือไปทั่ว…” หลินยี่เสวี่ยท่าทางเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม และกล่าวว่า “เป็นเขาที่จงใจทำลายความสงบสุขของเมืองหมิงลั่วเฉิงพวกเรา หวังแอบวางแผนชั่ว”
“ห้ามพูดจาส่งเดช คุณชายเป็นยอดฝีมือผู้สูงส่ง” หวูโหย่วเจิ้งกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “เป็นคุณชายที่ช่วยชีวิตอาจารย์เอาไว้ขณะอยู่ที่หุบเขาเย่หยา หากไม่เป็นเพราะคุณชายลงมือ อาจารย์คงกลายเป็นอาหารโอชะของปีศาจต้นไม้ไปแล้ว”
เมื่อหลินยี่เสวี่ยได้ยินคำพูดเช่นนี้ถึงกับตะลึงงัน จ้องมองดูหลี่ชิเย่แล้วก็รู้สึกว่าหลี่ชิเย่ไม่เหมือนกับยอดฝีมือผู้สูงส่งที่ออกมาจากปากของผู้เป็นอาจารย์
หลังจากที่อาจารย์ของนางกลับมาแล้วก็เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ ภายในใจของนางเข้าใจว่า ชายหนุ่มที่เป็นยอดฝีมือผู้สูงส่งที่ช่วยชีวิตอาจารย์ของนางนั้น แน่นอนข่อมเป็นผู้ที่เหาะเหินบนท้องฟ้าอยู่เหนือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา แต่หลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้า ไม่ได้มีท่าทางเหมือนยอดฝีมือผุ้สูงส่งแม้แต่น้อย
แม้จะเป็นเช่นนี้ หลินยี่เสวี่ยยังคงยอมอ่อนข้อแสดงคารวะด้วยการคำนับต่อหลี่ชิเย่ ก้มหน้าและกล่าวว่า “เป็นข้าที่เสียมารยาทล่วงเกินคุณชาย และขอบคุณคุณชายที่ช่วยชีวิตอาจารย์…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...