ยิ่งไปกว่านั้น ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นในวันนี้ได้เสื่อมลงแล้ว ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นไม่มีสำนักที่แข็งแกร่งอีกต่อไปแล้ว ขณะที่สำนักที่แข็งแกร่งมากที่สุดก็คือจวนลั่วของเมืองหมิงลั่วเฉิงแล้ว และก็คือสำนักที่เป็นชาติกำเนิดของสวี่อิงเจี้ยนแล้ว
กล่าวได้ว่า ทอดสายตามองออกไปทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น ไม่ว่าสำนักใดๆ ก็ไม่มีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น เนื่องจากทุกๆ สำนักล้วนแล้วแต่มีกำลังที่อ่อนแอ ไม่มีใครสามารถเป็นผู้สนับสนุนให้กับใครได้
ขณะที่ตระกูลมู่คือผู้ยิ่งใหญ่ของแดนลัทธิราชัน คือหนึ่งในสามระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนลัทธิราชัน
เฉกเช่นสำนักที่จัดตั้งเพื่อการสืบทอดอย่างตระกูลมู่นั้น ในสายตาของนิกายซูสือคือผู้ดำรงอยู่ในฐานะสูงเด่นไม่สามารถอาจเอื้อมได้ กล่าวสำหรับสำนักขนาดเล็กจำนวนมากเช่นนี้แล้ว ถ้าหากสามารถเกาะเกี่ยวกับผู้ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลมูได้ล่ะก็ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่สร้างชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูล
ยิ่งไปกว่านั้น มู่เฉิงเจี๋ยคือหลานศิษย์ของราชันแท้จริงมู่เจี้ยน เรียกได้ว่าอนาคตสดใส หากสามารถเกาะคนอย่างตระกูลมู่ได้จริงล่ะก็ กล่าวสำหรับสำนักขนาดเล็กจำนวนมากแล้ว มันคือโอกาสที่สุดยอดมาก
ดังนั้น มู่เฉิงเจี๋ยจึงเข้าใจว่าวิธีการที่ตนนำมาใช้ร้อยครั้งก็ไม่มีพลาด ในสายตาของเขามองว่า เฉกเช่นสถานที่เล็กๆ อย่างเมืองหมิงลั่วเฉิง หากเขาต้องการผู้หญิงสักคนมันจะไปยากอะไร เพียงเขาสำแดงฐานะออกมา บวกกับการหลอกล่อด้วยผลประโยชน์เล็กน้อย ไม่รู้ว่ามีศิษย์สาวของสำนักขนาดเล็กจำนวนเท่าไรที่ยินดีโผเข้าอ้อมกอดของตน
ดังนั้น มู่เฉิงเจี๋ยจึงเข้าใจเองว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นเรื่องที่คว้าเอามาได้อย่างง่ายดาย มองเห็นวัยละอ่อนงดงามและบริสุทธิ์ของหลินยี่เสวี่ยแล้ว เขาสะกดจิตใจที่ฟุ้งซ่านเอาไว้ไม่อยู่ อยากจะคว้าตัวหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้ามาสวมกอดเดี๋ยวนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป
“ไม่ต้องการ…” สำหรับการหลอกล่อด้วยผลประโยชน์ และเกมบังคับของมู่เฉิงเจี๋ยนั้น หลินยี่เสวี่ยปฏิเสธทันควัน
ท่าทีของหวูโหย่วเจิ้งดูหนักแน่นจริงจัง สิ่งนี้กล่าวสำหรับเขา กล่าวสำหรับนิกายซูสือแล้วหาใช่เป็นเรื่องดี วันใดล่วงเกินต่อตระกูลมู่ เกรงว่านิกายซูสือของพวกเขาคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย หากตระกูลมู่ต้องการบี้นิกายซูสือให้ตาย เรียกได้ว่าง่ายยิ่งกว่าบี้มดให้ตายสักตัวหนึ่ง
เดิมทีมู่เฉิงเจี๋ยเข้าใจว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าสามารถคว้าเอามาได้อย่างง่ายดาย ไม่นึกเลยว่าถึงกับถูกหญิงสาวออกปากปฏิเสธทันควัน พลันทำให้สีหน้าของมู่เฉิงเจี๋ยปั้นยากสุดๆ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าผู้หญิงที่อยู่ในสถานที่เล็กๆ แห่งนี้กล้าที่จะปฏิเสธตัวเขาที่เป็นถึงหลานศิษย์ของราชันแท้จริงมู่เจี้ยน!
“สามารถเข้าไปอยู่ในตระกูลมู่ของพวกเรา นับเป็นเกียรติสูงสุด” มู่เฉิงเจี๋ยที่มีสีหน้าบึ้งตึง กล่าวขึ้นช้าๆ
หวูโหย่วเจิ้งรีบพูดรอมชอมขึ้นมาว่า “คุณชายมู่ เด็กไม่ประสา ขอคุณชายมู่อย่าได้ถือสา อย่าได้ถือสา” ภายในใจของหวูโหย่วเจิ้งไม่หวังเป็นศัตรูกับตระกูลมู่ เฉกเช่นผู้ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลมู่หาใช่นิกายซูสือของพวกเขาสามารถมีเรื่องกับพวกเขาได้
“ตาเฒ่า หากรู้จักกาลเทศะล่ะก็ ไสหัวไปข้างๆ เสีย” มู่เฉิงเจี๋ยไม่มองหวูโหย่วเจิ้งสักแวบด้วยซ้ำ ดวงตาทั้งสองของเขาล็อกอยู่บนตัวของหลินยี่เสวี่ย ตาทั้งสองดูเข้ม กล่าวว่า “แม่นาง คุณชายอย่างข้าจองตัวเจ้าเอาไว้แล้ว คืนนี้เจ้าจะต้องเป็นผู้หญิงของข้า เวลานี้ตามข้าไปยังทัน”
การที่มู่เฉิงเจี๋ยใช้วิธีตรงๆ และถืออำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ พลันทำให้สวี่อิงเจี้ยนที่อยู่ด้านหลังเขาถึงกับบ่นอุบในใจ แต่เขาก็จนด้วยเกล้า จะอย่างไรเสียมู่เฉิงเจี๋ยมีฐานะที่ไม่ธรรมดา เขาเองก็ได้แต่คอยรับใช้เท่านั้น
“ถุย…” สีหน้าของหลินยี่เสวี่ยเปลี่ยนไปมากทีเดียว ถึงกับสะอิดสะเอียน หลบไปอยู่ด้านหลังของหวูโหย่วเจิ้ง
“เจ้าผู้หญิงที่ไม่รักดี” มาคราวนี้มู่เฉิงเจี๋ยพลันรู้สึกอับอายจนสุดจะทนอีกแล้ว ตาทั้งสองดูเข้ม กล่าวน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “เวลานี้เจ้ายอมคุณชายอย่างข้าเสียแต่โดยดียังทัน มิฉะนั้นล่ะก็ หากคุณชายอย่างข้าโกรธขึ้นมาล่ะก็ นิกายซูสือพวกเจ้าก็จะกลายเป็นซากปรักหักพัง ถึงตอนนั้นผู้อาวุโสของพวกเจ้าส่งตัวเจ้ามาเป็นของข้าโดยเฉพาะก็สายเกินไปเสียแล้ว”
“เจ้า…” หลินยี่เสวี่ยพลันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เมื่อถูกผู้อื่นเหยียดหยามถึงเพียงนี้
“สุนัขจรจัดมาจากไหน” ในเวลานี้เอง เสียงที่เอ้อระเหยของคนๆ หนึ่งดังขึ้น และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ที่ไหนเย็นสบายก็ไสหัวไปที่นั่นเสีย อย่ามาเห่ามั่วอยู่ที่นี่!”
คนที่พูดก็คือหลี่ชิเย่นั่นเอง เวลานี้เขานั่งอยู่ที่เดิม หลับตาพักผ่อนกายา และไม่ได้ลืมตาขึ้นมา
ในเวลานี้ ทั้งสวี่อิงเจี้ยน และมู่เฉิงเจี๋ยต่างมองไปพร้อมกัน เมื่อครู่นี้พวกเขาล้วนแล้วแต่ไม่ได้ให้ความสนใจในตัวหลี่ชิเย่ ท่าทางที่ดูธรรมดาของหลี่ชิเย่ สวี่อิงเจี้ยนยังเข้าใจว่าเขาเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งของนิกายซูสือเท่านั้น
“เจ้าคนไม่รู้จักคำว่าตายมาจากไหนกัน ถึงกับกล้ายุ่งกับเรื่องของคุณชายอย่างข้า!” พลันที่มู่เฉิงเจี๋ยมองเห็นท่าทางที่ธรรมดาของหลี่ชิเย่แล้ว ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย ตาทั้งสองดูเข้ม เผยให้เห็นถึงปณิธานการฆ่าที่น่ากลัวขึ้นมา กล่าวน่าครั่นคร้ามว่า “ถึงกับกล้าล่วงเกินคุณชายอย่างข้า เวลานี้เจ้าหักแขนหักขาเองแล้วยอมรับผิดกับคุณชายอย่างข้ายังทัน มิฉะนั้นล่ะก็ จะฆ่าล้างตระกูลเจ้า!”
มู่เฉิงเจี๋ยเผยโฉมที่โหดร้ายออกมา ตัวเขาเรียกได้ว่ามีผู้หนุนหลังจึงไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ในสายตาของเขามองว่า ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นไม่ได้มีสำนักที่เข้าท่าเลยสักสำนัก ล้วนแล้วแต่เป็นสำนักขนาดเล็กทั้งสิ้น เป็นกลุ่มผู้อ่อนแอกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง อย่าว่าแต่ลงมือโดยอาจารย์ปู่อย่างราชันแท้จริงมู่เจี้ยนเลย แม้แต่อาจารย์ของเขาลงมือก็สามารถทำลายล้างระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นได้ทั้งหมด
ดังนั้น กล่าวสำหรับมู่เฉิงเจี๋ยแล้ว แค่นิกายซูสือเล็กๆ ไม่นับเป็นตัวอะไรได้อยู่แล้ว หากเขาต้องการได้ผู้หญิงสักคนเขาก็ต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงหรืออย่างไรก็ตาม
อีกทั้ง ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นแห่งนี้ ใครกล้าขัดใจเขา เขาจะฆ่าไม่มีละเว้น!
“ตบปาก…” หลี่ชิเย่ไม่ได้เลิกกระทั่งหนังตาด้วยซ้ำ ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น หลับตาพักผ่อนกายา เหมือนนอนหลับไปแล้วอย่างนั้น
เพี๊ยะเสียงหนึ่งดังขึ้น หนึ่งฝ่ามือที่ตบเข้าไป ปรากฏเลือดสดๆ แตกกระจาย อ๊ากกกมู่เฉิงเจี๋ยร้องเสียงน่าเวทนาออกมา ถูกตบด้วยหนึ่งฝ่ามือทำเอากระอักเป็นเลือดสดๆ ออกมาอย่างแรง ถูกหลี่ชิเย่ตบจนฟันละเอียดร่วงหมดปาก พ่นเป็นฟันที่แตกละเอียดออกมา แม้แต่ปากก็เปลี่ยนรูปไปแล้ว
“คุณชายมู่…” สวี่อิงเจี้ยนตกใจสุดขีดเมื่อเห็นมู่เฉิงเจี๋ยได้รับบาดเจ็บ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...