ดังนั้น หลี่ชิเย่จึงนั่งรออย่างอดทนท่ามกลางซากปรักหักพังนั่น การนั่งอยู่ตรงนั้นแม้จะต้องนอนกลางดินกินกลางทรายก็ไม่ส่งผลกระทบต่อหลี่ชิเย่แม้แต่น้อย กล่าวสำหรับเขาแล้ว การรอคอยในลักษณะเช่นนี้ก็คล้ายเป็นการเดินเล่นในสวนหลังบ้านอย่างนั้น
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว มาวันนี้ ปรากฏเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบเสียงหนึ่งดังขึ้น ท่ามกลางเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบได้ยินเสียงเหนื่อยหอบเสียงหนึ่งด้วย
ขณะเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบนี้ดังขึ้นมานั้น หลี่ชิเย่พลันลืมตาทั้งสองขึ้นอย่างกะทันหัน
เพียงครู่เดียว ร่างเงาสายหนึ่งบุกรุกเข้ามา จังหวะการก้าวเท้าโซซัดโซเซ เมื่อบุกมาถึงด้านหน้าของหลี่ชิเย่แล้วหมดแรงทั้งตัวและล้มลงกับพื้นทันที
“ช่วย ช่วยนิกายซูสือของพวกเรา” ล้มตัวลงนาน ผู้หญิงคนนี้สั่นเทานทีหนึ่ง ไม่มีแรงกระทั่งจะลุกขึ้นมา แต่ยังคงอาศัยกำลังค้ำยันร่างกายเอาไว้ และร้องกล่าวเสียงดังต่อหลี่ชิเย่
ผู้ที่ล้มตัวนอนอยู่ตรงหน้าหลี่ชิเย่ก็คือหลินยี่เสวี่ย หลินยี่เสวี่ยในขณะนี้บนร่างกายเต็มไปด้วยรอยเลือด และปรากฏบาดแผลบนตัว ดูจากสภาพแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าได้ผ่านการต่อสู้มาอย่างดุเดือด
หลี่ชิเย่ทอดถอนใจขึ้นเบาๆ เมื่อเห็นสภาพของหลินยี่เสวี่ย มือพลันทาบลงบนหน้าผากอย่างชำนาญ พลังสัจธรรมได้ทะลักเข้าไปในร่างของนาง
เมื่อหลินยี่เสวี่ยได้รับพลังจากหลี่ชิเย่แล้ว พลันทำให้นางมีกำลังวังชาขึ้น ภาพโดยรวมดุจดั่งผืนแผ่นดินคืนสู่ฤดุใบไม้ผลิอย่างนั้น พลันเปี่ยมด้วยพลังชีวิต เปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา ทั้งตัวดุจดั่งมีพลังที่ใช้ไม่รู้จักหมดอย่างนั้น บาดแผลบนร่างกายก็หายเป็นปรกติในชั่วพริบตาโดยไม่ต้องอาศัยยาสมานแผล
“คุณชาย โปรด โปรดช่วยนิกายซูสือของพวกเรา” เมื่อหายใจได้แล้วหลินยี่เสวี่ยรีบเร่งร้องขอต่อหลี่ชิเย่ ในเวลานี้นางเองก็อับจนหนทางแล้ว หลี่ชิเย่คือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของนางเท่านั้น
“เป็นอะไรไปรึ?” หลี่ชิเย่ยังคงนิ่งเฉย เหมือนน้ำที่ไร้คลื่น
“จวนลั่วปิดล้อมนิกายซูสือพวกเรา ต้องการบุกโจมตีล้อมปราบพวกเรา” หลินยี่เสวี่ยกล่าวด้วยท่าทีร้อนรนอย่างยิ่ง
“ล้อมปราบ?” หลี่ชิเย่หรี่ตาทีหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรมาก
“อาจารย์ตัดสินใจอพยพไปนากเมืองหมิงลั่วเฉิง และเตรียมพาราษฎรส่วนหนึ่งไปด้วย ราษฎรส่วนหนึ่งในเมืองหมิงลั่วเฉิงเมื่อได้ยินว่าภัยพิบัติกำลังมาเยือน ยินดีที่จะติดตามพวกเราไปจาก แต่ทว่า ในเวลานี้เองพลันจวนลั่วได้เข้ามาล้อมพวกเราเอาไว้ บอกว่า พวกเราปล่อยข่าวลือสร้างความเข้าใจผิด…” เมื่อหลินยี่เสวี่ยเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว โทนเสียงดูจะต่ำลงมากทีเดียว
เนื่องจากก่อนหน้านี้นางเองก็เคยเอะอะโวยวายหาว่าหลี่ชิเย่ปล่อยข่าวลือสร้างความเข้าใจผิด เวลานี้ข้อหานี้กลับถูกจวนลั่วนำมาใช้กับนิกายซูสือของพวกเขา
ที่แท้ หลังจากที่หวูโหย่วเจิ้งตัดสินใจอพยพออกไปแล้ว ไม่เพียงจัดให้ศิษย์ทั้งหมดภายในสำนักได้อพยพเท่านั้น ขณะเดียวกันก็รณรงค์ให้ราษฎรภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงได้อพยพไปด้วย
เดิมทีนิกายซูสือก็คือหนึ่งในสำนักใหญ่ที่มีอยู่เป็นจำนวนไม่มากในเมืองหมิงลั่วเฉิง กระทั่งในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น แน่นอน สิ่งนี้จำกัดอยู่แค่ภายในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นเท่านั้น
ถ้าหากว่า ในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น ด้วยกำลังของจวนลั่วสามารถจัดให้อยู่ในอันดับหนึ่งล่ะก็ เช่นนั้นแล้วนิกายซูสือก็สามารถติดอันดับหนึ่งในห้า กระทั่งหนึ่งในสาม
ขณะที่ตัวของหวูโหย่วเจิ้งเองก็คือหนึ่งในระดับเทพแท้จริงขั้นสูงที่มีอยู่เพียงไม่กี่คนในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นเท่านั้น
กล่าวได้ว่า หวูโหย่วเจิ้งก็นับเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่งในเมืองหมิงลั่วเฉิง ได้รับการให้ความเคารพและรักใคร่จากราษฎรในเมืองหมิงลั่วเฉิงอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น ภายใต้การรณรงค์ของหวูโหย่วเจิ้ง เมื่อได้ยินว่าเมืองหมิงลั่วเฉิงจะมีภัยพิบัติมาเยือน ขณะที่นิกายซูสือก็จะมีการอพยพไปทั้งหมด ดังนั้น ในเวลานั้นก็มีราษฎรจำนวนไม่น้อยที่ยินดีอพยพติดตามไปด้วย
เดิมทีทุกสิ่งทุกอย่างนับว่าราบรื่น ในเวลานี้เอง จวนลั่วพลันก่อการด้วยการนำกำลังทหารมาล้อมนิกายซูสือเอาไว้อย่างแน่นหนา ต้องการล้อมปราบนิกายซูสือ
เหตุผลที่ใช้ในการก่อการขึ้นมากะทันหันของจวนลั่วนั้นง่ายมาก นิกายซูสือปล่อยข่าวลือสร้างความเข้าใจผิด ปลุกระดมให้ราษฎรอพยพ ทำลายความมั่นคงของเมืองหมิงลั่วเฉิง สั่นคลอนรากฐานของเมืองหมิงลั่วเฉิง
การที่จวนลั่วก่อการขึ้นมากะทันหันนั้น เป็นความจริงที่ว่าเกรงจะเป็นการทำลายความมั่นคงของเมืองหมิงลั่วเฉิงแล้ว ยังมีเหตุผลอื่นๆ อยู่อีกด้วย
จวนลั่วคือสำนักจัดตั้งที่แข็งแกร่งมากที่สุดของเมืองหมิงลั่วเฉิง กระทั่งในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น ภาษิตว่าไว้ว่า เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ในเมืองหมิงลั่วเฉิงที่มีนิกายซูสืออยู่ตลอดมานั้น ทางจวนลั่วมีความรู้สึกมาโดยตลอด
เพียงแต่นิกายซูสือนั้นมีรากฐานลึกซึ้ง การก่อตั้งเป็นสำนักในเมืองหมิงลั่วเฉิงมีมาก่อนและยาวนานกว่าจวนลั่วเสียอีก ได้รับการรักใคร่จากเหล่าราษฎร ขณะเดียวกัน ตัวของหวูโหย่วเจิ้งก็เป็นระดับเทพแท้จริงขั้นสูง ซึ่งในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น ระดับเทพแท้จริงขั้นสูงมีอยู่เพียงสามถึงห้าคนเท่านั้น
ดังนั้น ทางจวนลั่วก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือต่อนิกายซูสือ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุสังหารศัตรูพันคน ตนเองต้องสูญเสียแปดร้อย
มาคราวนี้กลับเปิดช่องให้กับจวนลั่ว และทำให้จวนลั่วมีเหตุผลที่จะส่งกำลังของตนไป ถือโอกาสที่นิกายซูสือกำลังชลมุนวุ่นวายเอง จวนลั่วจึงได้ก่อการกะทันหันเข้าล้อมนิกายซูสือเอาไว้ทันที หวังจะล้อมปราบนิกายซูสือให้สิ้นซาก
เดิมนิกายซูสือกำลังจะอพยพไปจาก จึงไม่มีการป้องกันแม้แต่น้อย การที่จวนลั่วก่อการขึ้นกะทันหัน ในขณะที่ศักยภาพของนิกายซูสือก็ไม่เท่าจวนลั่วเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อต้องรับศึกอย่างรีบเร่ง ไหนเลยที่นิกายซูสือจะเป็นคู่ต่อสู้ของจวนลั่วได้
หวูโหย่วเจิ้งนำศิษย์ของนิกายซูสือรบพลางล่าถอยพลาง สุดท้ายได้ถอยเข้าไปอยู่ในป้อมปราการที่แข็งแกร่ง ขณะที่กำลังทหารของจวนลั่วได้ทำการล้อมป้อมปราการเอาไว้จนกระทั่งน้ำยังเล็ดลอดไปไม่ได้ ท่าทีเหมือนต้องการโค่นล้มทำลายศัตรูให้ราบคาบ มีแนวคิดที่จะทำลายล้างนิกายซูสือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...