แม้ว่านิกายซูสือจะได้ใจจากชาวเมืองในเมืองหมิงลั่วเฉิงเป็นอันมาก และหวูโหย่วเจิ้งผู้เป็นเจ้านิกายก็ได้รับความรักใคร่จากผู้คนเป็นจำนวนมาก แต่ว่า ในเวลานี้ก็ไม่มีผู้บำเพ็ญตนคนใดกล้าก้าวออกมาพูดอะไรให้กับนิกายซูสือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีสำนักใดๆ ออกมาสนับสนุนนิกายซูสืออย่างเต็มที่ และหรือให้ความช่วยเหลือต่อนิกายซูสือ
ณ ปัจจุบัน กล่าวได้ว่า จวนลั่วนั้นนับวันยิ่งจะมีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากที่หยางถิงอวี่เข้ามากุมอำนาจจวนลั่วแล้ว ยิ่งเรียกได้ว่าดั่งพระอาทิตย์ที่ขึ้นอยู่กลาวหาว ทุกคนต่างมองออกว่าหยางถิงอวี่นั้นอนาคตไร้ขอบเขตจำกัด จะต้องได้เป็นเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์อย่างแน่นอน กระทั่งอาจได้ครอบครองระดับอมตะ เมื่อถึงขั้นนั้นแล้ว เขาก็คือบุคคลอันดับหนึ่งที่จริงแท้แน่นอนแล้ว
ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครบ้างต้องการเป็นศัตรูกับหยางถิงอวี่ ใครบ้างต้องการล่วงเกินต่อหยางถิงอวี่ ทุกคนต่างมองออกว่า การที่หยางถิงอวี่จะรวบรวมระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นให้เป็นปึกแผ่นนั้นเป็นเรื่องที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น
มองดูกองทัพเหล็กนิลของจวนลั่วที่ปิดล้อมป้อมปราการของนิกายซูสือเอาไว้นั้น นิกายซูสือเข้าสู่การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายแล้ว ทุกคนต่างก็รู้ว่าไม่ว่านิกายซูสือจะดิ้นรนเช่นใดก็ตาม ก็ไม่สามารถหนีจากชะตากรรมต้องถูกทำลายล้างไปไม่ได้
“สุดท้ายแล้ว นิกายซูสือยังคงต้องกลายเป็นประวัติศาสตร์” ผู้บำเพ็ญตนรุ่นอาวุโสอดที่จะปลงอนิจจังอยู่บ้างไม่ได้ และอดที่จะร้องไห้ต่อกระซิกในใจไม่ได้
กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนบางส่วนแล้วหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกระต่ายตายสุนัขจิ้งจอกเศร้าเสียใจ วันนี้จวนลั่วสามารถทำลายล้างนิกายซูสือได้ เช่นนั้นแล้วพรุ่งนี้ก็สามารถทำลายล้างพวกเขาได้เช่นกัน แต่ว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และไม่สามารถยับยั้งการก้าวเดินของหยางถิงอวี่ได้
หวูโหย่วเจิ้งเองก็กังวลใจอย่างยิ่งขณะอยู่บนป้อมปราการ มองไปทางซากปรักหักพังเทียนยวี่น ท่าทีนั้นดูจะเป็นกังวลอย่างยิ่ง
แม้ว่าเป็นการไม่ง่ายนักกว่าพวกเขาจะฝ่าวงล้อมไปได้ และส่งตัวหลินยี่เสวี่ยออกไป แต่ภายในใจของหวูโหย่วเจิ้งก็ไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเองก็ไม่รู้ว่าหลินยี่เสวี่ยสามารถเชิญตัวหลี่ชิเย่มาได้หรือไม่ เขาเองมีรู้ว่าหลี่ชิเย่ยินยอมลงมือเข้าช่วยหรือไม่ เรียกได้ว่าภายในใจของเขาไม่มีความมั่นใจแม้แต่นิดเดียว
จะอย่างไรเสีย นิกายซูสือของพวกเขากับหลี่ชิเย่ใช่ญาติใช่มิตร ต่อให้นิกายซูสือของพวกเขาถูกทำลาย ก็ไม่แน่เสมอไปว่าหลี่ชิเย่จะยอมยื่นมือเข้าช่วย ยิ่งไปกว่านั้น เฉกเช่นผู้สูงส่งอย่างหลี่ชิเย่นั้น ความคิดความอ่านและการกระทำของเขาไม่สามารถอาศัยความคิดของคนทั่วๆ ไปคาดเดาได้
เวลานี้ ภายในใจของเขามีความกังวลยิ่งนัก มักจะมองไปยังที่ที่ห่างไกลอยู่เสมอๆ เวลานี้บนตัวของเขามีอาการบาดเจ็บไม่เบาเลย เขาปะมือกับหยางถิงอวี่ ถูกเคล็ดวิชาราชันแท้จริงของหยางถิงอวี่ที่พาลยิ่งทำให้ได้รับบาดเจ็บ หากไม่เป็นเพราะพลังวัตรของเขาแข็งแกร่งยังคงสามารถทนเอาไว้ได้ล่ะก็ มิฉะนั้นคงตายไปนานแล้ว
ภายในใจของหวูโหย่วเจิ้งร้อนรนอย่างยิ่ง เนื่องจากเขาเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่า อาศัยกำลังของพวกเขาคงต้านจวนลั่วได้อีกไม่นาน หากถูกโจมตีอีกหลายระลอก ป้อมปราการของพวกเขาต้องแตกอย่างไม่ต้องสงสัย หากถึงขั้นนั้นแล้ว หลี่ชิเย่ก็ไม่ลงมือเข้าช่วยเหลือ นิกายซูสือของพวกเขาคงต้องล่มสลายจริงๆ แล้ว เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาก็จะสิ้นหวังอย่างแท้จริงแล้ว
“อาจารย์ ผู้สูงส่งผู้นั้นจะมาหรือไม่?” เวลานี้ศิษย์ที่อยู่ข้างกายหวูโหย่วเจิ้งได้เอ่ยถามแผ่วเบาขึ้นมา มองดูกองทัพเหล็กนิลที่อยู่ด้านล่างแล้ว ในใจของศิษย์นิกายซูสือต่างรู้สึกหนาวสะท้าน พวกเขาไม่สามารถตีฝ่าวงล้อมของจวนลั่วได้อีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ พวกเขาเคยจัดกำลังเพื่อตีฝ่าวงล้อมหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
“น่าจะมากระมัง” หวูโหย่วเจิ้งอดที่จะพึมพำขึ้นมา กล่าวพลางอดที่จะมองไปยังซากปรักหักพังเทียนยวี่น คำพูดของเขาทั้งเป็นการตอบคำถามของศิษย์ภายในสำนัก เพื่อให้ศิษย์ภายในสำนักมีความเชื่อมั่น ขณะเดียวกันก็เป็นการให้กำลังใจตัวเอง ความจริงแล้วในใจของเขาไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย
ขณะที่ทุกคนกำลังกลั้นลมหายใจมองดูกองทัพเหล็กนิลอยู่นั้น ทันใดนั้นเห็นคนสองคนลงมาจากฟ้าเพียงชั่วพริบตาเดียวก็ร่อนลงไปยืนอยู่ด้านหน้าป้อมปราการ ด้านหน้าของกองทัพเหล็กนิล
พลันที่มองเห็นสองคนที่ร่อนลงมาอยู่ด้านน้ากองทัพเหล็กนิล หวูโหย่วเจิ้งเพ่งมองเข้าไป เป็นหลี่ชิเย่และหลินยี่เสวี่ยนั่นเอง เขาพลันดีใจอย่างยิ่งอดที่จะร้องขึ้นมาว่า “ผู้สูงส่งมาแล้ว!”
“ขอบคุณฟ้าดิน ในที่สุดนิกายซูสือพวกเราก็รอดแล้ว” ในเวลานี้ น้ำตาแห่งความปิติของหวูโหย่วเจิ้งก็เอ่อล้นเบ้าตาออกมา เดิมเขาได้วางแผนและคิดไปในทางที่เลวร้ายที่สุดแล้ว เกรงว่านิกายซูสือของพวกเขาคงต้องล่มสลายแล้วในวันนี้
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า ในวินาทีสุดท้ายผู้ช่วยก็มาถึงแล้วในที่สุด พลันที่หลี่ชิเย่มาถึง หวูโหย่วเจิ้งก็รู้ว่านิกายซูสือของพวกเขารอดแล้ว
ทันใดนั้น ได้ก่อเกิดความวุ่นวายขึ้นทันที เมื่อหลี่ชิเย่และหลินยี่เสวี่ยร่อนลงมาจากท้องฟ้า
“นั่นไม่ใช่ศิษย์ของนิกายซูสือที่เพิ่งหนีออกไปไม่ใช่รึ? ทำไมกลับมาอีกแล้ว? มิเท่ากับเป็นการรนหาที่ตายรึ?” ท่ามกลางผู้ชมที่อยู่ห่างไกลออกไป มีผู้ที่มองเห็นหลินยี่เสวี่ยจากระยะไกล รู้สึกเหนือความคาดคิด
แต่ก็มีผู้ที่มองเห็นหลี่ชิเย่และกล่าวว่า “ผู้ชายคนนี้เป็นใคร? คงไม่ใช่ผู้ช่วยที่ทางนิกายซูสือเชิญมากระมัง? ในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเรา ไม่ว่าจะเอาผู้ช่วยมาจากไหนก็เปล่าประโยชน์ ยังจะมีใครแกร่งยิ่งกว่าจวนลั่วอีก ยังจะมีใครเป็นคู่ต่อสู้ของหยางถิงอวี่ได้อีก?”
ตึงเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงอาวุธดังขึ้นไม่หยุด เมื่อหลี่ชิเย่และหลินยี่เสวี่ยปรากฎตัวด้านหน้าป้องปราการนั้น ทหารของกองทัพเหล็กนิลจำนวนไม่น้อยพลันหันปลายทวนและคมดาบเล็งไปที่หลี่ชิเย่ กลิ่นอายการฆ่าคุกกรุ่น
“เป็นเจ้า” สวี่อิงเจี้ยนที่บัญชาการรบในเหตุการณ์พลันที่มองเห็นหลี่ชิเย่ ถึงกับมีสีหน้าเปลี่ยนไปมากทีเดียว ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว โบกมือทีหนึ่ง
“ระวัง!” สวี่อิงเจี้ยนถูกทำให้ตกใจยิ่งนัก ทหารจากกองทัพเหล็กนิลบุกเข้ามาทันที ดั่งป้อมปราการเหล็กที่เล็งไปยังหลี่ชิเย่ กลิ่นอายที่ดุเดือดรุนแรงตลบอบอวล
ในเวลานี้สวี่อิงเจี้ยนก็รู้สึกเสียใจภายหลังที่ปล่อยให้หลินยี่เสวี่ยฝ่าวงล้อมออกไปได้ เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าหลินยี่เสวี่ยถึงกับสามารถลากเอาผู้ช่วยเช่นนี้มาได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...