ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 2799

สรุปบท ตอนที่ 2799 หอจรัสศักดิ์สิทธิ์: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 2799 หอจรัสศักดิ์สิทธิ์ – ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล โดย Internet

บท ตอนที่ 2799 หอจรัสศักดิ์สิทธิ์ ของ ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล ในหมวดนิยายAction เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 2799 หอจรัสศักดิ์สิทธิ์

หลี่ชิเย่ก้าวเดินไปด้านนอกท่ามกลางป่าที่รกร้างทีละก้าวๆ แม้วว่าจะเป็นเพียงป่าที่รกร้าง หากเปลี่ยนเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาเป็นผู้ก้าวเดิน เกรงว่าพวกเขาก้าวเดินอยู่ท่ามกลางป่าที่รกร้างชั่วชีวิตก็จะไม่ค่อยรู้สึกอะไรสักเท่าไร

แต่ว่า หลี่ชิเย่นั้นแตกต่าง เขาคือผู้ดำรงอยู่ในฐานะระดับสูงสุด ขณะที่เขาก้าวเดินอยู่ท่ามกลางป่ารกร้างแห่งนี้นั้น เขามีความรู้สึกที่ชัดเจนมากถึงพลังจรัสที่ไหลทะลักเข้ามาจากทุกทิศทุกทางของป่ารกร้างแห่งนี้ มุ่งหน้ากรูกันตรงเข้าไปยังส่วนที่ลึกเข้าไปในป่ารกร้างผืนนี้

ย่อมไม้ต้องสงสัย พลังจรัสนี้ก็คือธาตุแท้ภายในของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ มีประกายศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ไหลรินอยู่ใต้พื้นดิน พวกมันทั้งหมดล้วนแล้วแต่ไหลทะลักไปยังส่วนที่ลึกเข้าไปในป่ารกร้างผืนนี้

ไม่ว่าจะเป็นการไหลทะลักเข้าไปยังป่ารกร้างของพลังจรัส หรือว่าประกายศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม ก็เพื่อต้องการทำให้พลังความมืดที่อยู่ท่ามกลางป่ารกร้างให้บริสุทธิ์ นี่คือพลังความสามารถในการทำให้บริสุทธิ์ด้วยตัวเองของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ และเป็นความสามารถในการปกป้องตนเองของของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหอจรัสศักดิ์สิทธิ์

อย่างไรก็ตาม ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเฉกเช่นหอจรัสศักดิ์สิทธิ์นั้นแตกต่างจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหอจรัสศักดิ์สิทธิ์นั้น เรียกได้ว่ารัศมีแสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค โปรดเวไนยสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์โดยทั่วกัน ทุกๆ ตารางนิ้วของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ล้วนแล้วแต่สามารถรับรู้ได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์อย่างนั้น สามารถรับรู้ได้ว่าตนเองนั้นอาบเอิบอยู่ท่ามกลางประกายศักดิ์สิทธิ์นั่น ประกายศักดิ์สิทธิ์ลักษณะเช่นนี้สามารถชำระล้างความชั่วร้ายทั้งหมดของตนจนหมดสิ้น ทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อความมืดได้ตกลงบนผืนแผ่นดินของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์นั้น แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดไปควบคุม หรือขับเคลื่อนพลังจรัสนี้ แต่ว่า ตัวของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเองก็จะพวยพุ่งเป็นประกายศักดิ์สิทธิ์ออกมา เพื่อทำความมืดให้บริสุทธิ์

ความสว่างและความมืดไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ดังนั้น เมื่อความมืดได้ตกลงท่ามกลางป่าที่รกร้างของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแห่งนี้ แม้ว่าจะเป็นบริเวณที่ปราศจากผู้คน และมองไม่เห็นภาพของการโปรดและการสาดส่องของความสว่าง แต่ว่า พลังจรัสที่อยู่ภายในธาตุแท้ภายในของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิยังคงพวยพุ่งเป็นประกายศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาในช่วงเวลาแรกที่ใกล้ที่สุดหลังเกิดเหตุ เพื่อไปทำการทำให้พลังความมืดที่ทำให้กลายเป็นมารนั้นให้บริสุทธิ์

“ตาเฒ่านี้นับว่ายอดเยี่ยมโดยแท้ ความสว่างสามารถก้าวถึงระดับเช่นนี้นับว่าเทียบเคียงกับปราชญ์ได้จริงๆ” เมื่อหลี่ชิเย่รับรู้ถึงพลังจรัสที่มีความบริสุทธิ์ยิ่งใต้พื้นดินแล้ว ถึงกับพยักหน้าและกล่าวชื่นชมทีหนึ่ง

ปราชญ์ที่ออกจากปากของหลี่ชิเย่ก็คือปราชญ์ไกลกันดารขณะอยู่ที่สิบสามทวีปในครั้งนั้น สุดท้ายแล้วเขาได้เสียสละตนเองขณะที่สู้รบกับบรรพบุรุษหลุนหุยในที่สุด

เมื่อเอ่ยถึงหอจรัสศักดิ์สิทธิ์แล้วนับว่าเป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่น่าสนใจยิ่ง เนื่องจากตัวมันเองหาใช่เป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่มีความหมายด้านการสืบทอด ที่ถูกต้องมันคือระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิในรูปแบบของสถานศึกษา

ขณะที่ตัวของปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ด้วยแล้ว ยิ่งนับเป็นปฐมบรรพบุรุษที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ปฐมบรรพบุรุษ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหอจรัสศักดิ์สิทธิ์มีชื่อว่าปราชญ์ไกลกันดาร

หากจะกล่าวว่า ชั่วชีวิตของผู้เฒ่าอมตะ ปฐมบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารยึดมั่นในเรื่องของวัฏสงสาร ค้นหาในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด เช่นนั้นแล้ว ปราชญ์ไกลกันดาร ปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ เขาก็เป็นคนที่ยึดมั่นในเรื่องของความสว่างมาชั่วชีวิต

ปราชญ์ไกลกันดารเคยถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสิบยอดปฐมบรรพบุรุษของแดนลัทธิเซียน ชั่วชีวิตของเขารัศมีแสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค โปรดเวไนยสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์โดยทั่วกัน ไม่รู้ว่าเป็นที่รู้สึกทอดถอนใจของปฐมบรรพบุรุษ และชนรุ่นหลังจำนวนเท่าไร

ดังนั้น ในพันล้านปีของแดนลัทธิเซียนที่ผ่านมา เวลาที่ผู้คนจำนวนมากเอ่ยถึงปราชญ์ไกลกันดารนั้น ต่างเกิดความนับถือขึ้นมาทันที เนื่องจากเขาคือตัวแทนของความสว่าง เป็นตัวแทนของความเมตตา และเป็นตัวแทนของภารดรภาพ

มีคำเล่าลือว่า ขณะปราชญ์ไกลกันดารยังอยู่ที่แดนลัทธิเซียนนั้น ไม่ว่าเขาไปยืนอยู่ ณ ที่ใดล้วนแล้วแต่รัศมีแสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค ความสว่างของเขาส่องสว่างไปทุกมุมของแดนลัทธิเซียน ทำให้ความมืดไร้ที่ซ่อนตัวอีกเลย

สืบเนื่องจากรัศมีแสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาคเช่นนี้ของปราชญ์ไกลกันดารนี่เอง ส่งผลให้แดนลัทธิเซียนในยุคของปราชญ์ไกลกันดารมีความสงบเป็นอันมาก เรื่องของบุญคุณความแค้นลดน้อยลงไปมากทีเดียว การต่อสู้เข่นฆ่ากันระหว่างระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิด้วยกัน ระหว่างสำนักด้วยกัน ระหว่างผู้บำเพ็ญตนด้วยกันเองก็ลดน้อยลงไปมากทีเดียว

กระทั่งเคยมีผู้ร้ายที่เลวจนไม่อาจให้อภัยได้ สุดท้ายแล้วยังคงถวายตัวต่อความสว่าง สุดท้ายได้กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีที่จริงๆ จังๆ

ดังนั้นกล่าวได้ว่า ในยุคสมัยของปราชญ์ไกลกันดารนั้น รัศมีแสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค โปรดเวไนยสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์โดยทั่วกัน เป็นยุคสมัยที่มีความเจ็บปวด และโรคร้ายน้อยที่สุดยุคหนึ่ง ขณะที่อยู่ในยุคสมัยเช่นนั้น

ด้วยเหตุนี้เองในยุคสมัยเช่นนั้น หอจรัสศักดิ์สิทธิ์เจริญรุ่งเรืองจนไม่อาจจินตนาการได้ มีราษฎร์นับล้านล้านคนที่เข้าร่วมเป็นสาวกของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ และในจำนวนนั้นมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นผู้ปราศจากผู้ต่อกรของถิ่นๆ หนึ่ง โดยที่พวกเขาต่างยินดีเข้าร่วมเป็นสาวกของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์

และด้วยการที่ชั่วชีวิตของปราชญ์ไกลกันดารที่แผ่รัศมีแสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค ในยุคหลังจึงมีผู้ที่ยกย่องเขาให้เป็นปฐมบรรพบุรุษที่ยอดเยี่ยมที่สุด ดังนั้น ชนรุ่นหลังจำนวนมากเมื่อเอ่ยถึงปราชญ์ไกลกันดารก็เกิดรู้สึกนับถือขึ้นมา ภายในใจของผู้คนเป็นจำนวนมารปราชญ์ไกลกันดารคือปฐมบรรพบุรุษที่คู่ควรแก่การนับถือมากที่สุด

เขาคือปฐมบรรพบุรุษผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา สงสาร เปิดเผยตรงไปตรงมา และภารดรภาพ เรียกได้ว่าในด้านนี้ไม่มีปฐมบรรพบุรุษคนใดสามารถเทียบเคียงกับเขาได้

ด้วยเหตุนี้ ปราชญ์ไกลกันดารได้ก่อตั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอย่างหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ขึ้น และทำให้ความสว่างถูกสืบทอดอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตลอดไป และความสว่างได้ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาคบนแผ่นดินนี้

ความจริงแล้ว หอจรัสศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สถานศึกษา มันเป็นเพียงชื่อที่เรียกรวมๆ ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแห่งนี้ หรือจะกล่าวให้ถูกต้อง ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธินี้มีชื่อว่าหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ใช่สถานศึกษาใดสถานศึกษาหนึ่งที่มีชื่อว่าหอจรัสศักดิ์สิทธิ์

ความจริงแล้ว ภายในผืนแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลหอจรัสศักดิ์สิทธิ์นี้ มีสถานศึกษาเป็นพันเป็นหมื่นแห่ง มากมายดั่งดอกเห็ด กระทั่งกล่าวได้ว่า ไม่ว่าใครก็ตามล้วนสามารถก่อตั้งสถานศึกษาขึ้นมาสักแห่งท่ามกลางสถานที่เช่นหอจรัสศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ไม่มีเงื่อนไขยากที่ต้องทำให้ได้เป็นพิเศษ

ขอเพียงมีสถานที่ที่จะสร้างสถานศึกษา และหรือมีห้องสักห้องหนึ่งก็สามารถสร้างเป็นสถานศึกษาขึ้นมาได้สักแห่ง ปัญหาก็คือจะต้องมีนักเรียนให้ได้ จะต้องมีผู้ที่ยินดีติดตามและฝึกฝนตาม

แม้จะกล่าวว่าหอจรัสศักดิ์สิทธิ์มีสถานศึกษาเป็นพันเป็นหมื่น แต่ที่สามารถมีชื่อเสียงโด่งดังใต้หล้าชื่อเสียงขจรทั่วทั้งแดนลัทธิเซียนนั้นมีอยู่สี่แห่ง ได้แก่สู่กวงบูรพา หลีหมิงทักษิณ เซิ่นถัวประจิม และเป่ยเยี่ยนอุดร

หลี่ชิเย่ก้าวเดินไปช้าๆ เสมือนดั่งฝึกฝนอย่างหนักอย่างนั้น ขณะที่ภายใต้การบดขยี้ทำลายของเขา สุดยอดความน่ากลัวสูงสุดก็ดูจะอ่อนแอลงทุกวันๆ ขอเพียงดำเนินต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ช้าหรือเร็วสุดยอดความน่ากลัวสูงสุดสักวันก็ต้องถูกบดขยี้ทำลายไปในที่สุด

หลี่ชิเย่ก้าวเดินอยู่ท่ามกลางป่าที่รกร้างโดยไม่รู้กลางวันกลางคืน ในที่สุดก็ออกจากป่าที่รกร้างได้แล้ว และก้าวเดินมาถึงริมขอบชายป่านี้ และสามารถมองเห็นผู้คนบ้างได้แล้ว

เมื่อหลี่ชิเย่ก้าวเดินออกมาถึงชายป่าที่รกร้างนี้แล้วก็ได้พบกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนคนกลุ่มนี้จะต้องการเข้าไปในป่าที่รกร้างแห่งนี้

“เหตุใดเจ้าจึงได้มาถึงป่าที่รกร้างนี้คนเดียวได้ ไม่กลัวถูกสัตว์จับกินรึ?” เมื่อกลุ่มคนกลุ่มนี้เดินปะทะหน้าเข้ามา พลันที่มองเห็นหลี่ชิเย่ได้มีผู้ที่กล่าวทักทายด้วยไมตรีจิตบ้าง

ท่ามกลางกลุ่มคนกลุ่มนี้มีทั้งผู้เฒ่าและหนุ่ม ดูท่าทางคงเป็นอาจารย์กับนักศึกษาของสถานศึกษาใดสถานศึกษาหนึ่ง และหรือจากหลายๆ สถานศึกษา พวกเขามีลักษณะหลากหลาย และบนตัวยังมีแสงสว่างที่จางๆ ลอยขึ้นมา เหมือนว่าประกายศักดิ์สิทธิ์ไม่มีเวลาไหนที่ไม่ครอบคลุมอยู่บนตัวพวกเขาอย่างนั้น ผู้ที่ถือกำเนิดและเติบโตในหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ล้วนแล้วแต่มีความศรัทธาอยู่ไม่น้อย

“ผืนป่ารกร้างผืนนี้คือที่ชั่วร้าย มักมีสัตว์ป่าเคลื่อนไหวปรากฏตัว เจ้าคนๆ เดียวยังคงรีบเร่งไปจากที่ตรงนี้” มีอาจารย์ที่มองหลี่ชิเย่แวบหนึ่ง และกล่าวเตือนขึ้น นับเป็นความใจดี

“ข้าหนังหนา เกรงว่าสัตว์ป่าจะไม่กิน” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง

ความจริงแล้ว สำหรับหลี่ชิเย่ที่เป็นผู้ที่มองดูแล้วธรรมดายิ่งนัก ไม่ว่าเขาจะเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา หรือผู้บำเพ็ญตน ก็ไม่มีผู้คนสักเท่าไรให้ความสนใจในตัวเขา

“ฟังว่าลึกเขาไปภายในป่ารกร้างมีการเปลี่ยนแปลงที่ประหลาดมาก เจ้ายังคงรีบไปจากที่นี่เถอะ” มีนักศึกษาที่บนตัวปรากฎประกายศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่ง เรียกได้ว่าใจดี และกล่าวเตือนหลี่ชิเย่

นี่แหละคือข้อแตกต่างของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์กับที่อื่นๆ ณ ที่ตรงนี้มีผู้คนประเภทจริงใจและอบอุ่นอยู่ไม่น้อย

“ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” หลี่ชิเย่หัวเราะและมุ่งหน้าไปด้านนอก

จังหวะที่หลี่ชิเย่กับคนกลุ่มนี้เดินเฉียดไหล่กันไปนั้น สายตาของหนึ่งในผู้เฒ่าที่หน้าตาแก่หง่อมสวมชุดยาวพลันตกอยู่บริเวณระหว่างคิ้วของหลี่ชิเย่ เมื่อเห็นรอยสลักที่อยู่บริเวณระหว่างคิ้ว

………………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล