ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 2800

สรุปบท ตอนที่ 2800 ชนเผ่าบาป: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

สรุปตอน ตอนที่ 2800 ชนเผ่าบาป – จากเรื่อง ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล โดย Internet

ตอน ตอนที่ 2800 ชนเผ่าบาป ของนิยายActionเรื่องดัง ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 2800 ชนเผ่าบาป

ผู้เฒ่าผู้นี้คอยจ้องมองดูรอยประทับสลักบนระหว่างคิ้วของหลี่ชิเย่ตลอดเวลา จังหวะที่พวกเขาทั้งสองฝ่ายเดินสวนกันไปนั้น ดวงตาทั้งสองของผู้เฒ่าเป็นประกาย และเปล่งประกายเยือกเย็นบานเบ่งขึ้นมา

“ชนเผ่าบาป!” สุดท้าย ผู้เฒ่าผู้นี้ได้หยุดเดิน แววตาที่จ้องมองหลี่ชิเย่พลันบานเบ่งความเย็นชาขึ้นมา

เมื่อผู้เฒ่าผู้นี้หยุดเดิน กลุ่มคนของพวกเขาก็หยุดดันตามด้วย ขวับ ขวับ ขวับสายตาทุกคู่ได้ตกลงบนตัวของหลี่ชิเย่ทันที แรกทีเดียว กลุ่มคนของพวกเขายังมีคนจำนวนมากไม่ได้สังเกตหลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง

“ผู้อาวุโส อะไรคือชนเผ่าบาป?” ศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งได้ยินชื่อนี้ถึงกับแปลกใจ และพิจารณาหลี่ชิเย่อีกหลายที

“ได้ยินว่า ชนเผ่าบาปนั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกเนรเทศ ตามตำนานเล่าว่า บรรพบุรุษของเผ่าดังกล่าวคือผู้ที่ชั่วร้ายเกินกว่าจะให้อภัย แม้แต่ปฐมบรรพบุรุษหอจรัสศักดิ์สิทธิ์พวกเราก็ไม่สามารถโปรดเขาได้ ดังนั้น จึงได้เนรเทศเขาไป ชนรุ่นหลังของเขาจึงถูกเรียกว่าเป็นชนเผ่าบาป” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งได้เอ่ยขึ้นช้าๆ

ชายวัยกลางคนผู้นี้ระหว่างคิ้วกว้างโหนกนูน ท่าทางเรียบร้อย เวลานี้กขาก็อดที่จะพินิจพิเคราะห์หลี่ชิเย่อย่างละเอียดไม่ได้ และยังมองไม่ออกว่าเขามีส่วนไหนที่ชั่วร้าย

“ผู้อาวุโส ท่านยืนยันได้ว่าพี่น้องคนนี้มีชาติกำเนิดเป็นชนเผ่าบาปหรือไม่” ชายวัยกลางคนผู้นี้เอ่ยถาม

“ถูกต้อง เป็นชนเผ่าบาปจริงๆ” หลังจากที่ผู้เฒ่าผู้นี้จ้องมองหลี่ชิเย่อยู่ชั่วครู่ใหญ่ สายตาของเขาจ้องมองไปที่รอยประทับสลักบนระหว่างคิ้วของหลี่ชิเย่ กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ตามบันทึกของตำราดึกดำบรรพ์ บริเวณระหว่างคิ้วของชนเผ่าบาปจะมีรอยประทับสลักรอยหนึ่ง รอยประทับสลักบนระหว่างคิ้วของเขาเหมือนกันอย่างกับแกะกับที่บรรยายไว้ในตำรา ดังนั้น เล่าฮูจึงมั่นใจว่าเขาจะต้องมีชาติกำเนิดมาจากชนเผ่าบาป”

“ชนเผ่าบาปไม่บาปอะไร ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” หลี่ชิเย่หัวเราะส่ายหน้า กล่าวว่า “รอยประทับสลักของข้าเป็นเพียงบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเท่านั้นเอง หาใช่เป็นรอยประทับสลักของชนเผ่าบาปอะไรนั่น”

“เจ้าจะเล่นสำบัดสำนวนอะไรก็ไร้ประโยชน์” ผู้เฒ่าผู้นี้เพ่งสายตาไปข้างหน้า และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ครั้งนั้นปฐมบรรพบุรุษได้ขับไล่ชนเผ่าบาปไปยังเมืองล้างบาป หวังว่าพวกเขาและชนรุ่นหลังของพวกเขาสามารถกลับตัวเป็นคนดี และประพฤติตัวใหม่ เพียงแต่ ภายหลังชนเผ่าบาปหายสาบสูญไป มีผู้กล่าวว่าพวกเขาได้ลึกเข้าไปในป่าที่รกร้าง และไม่ปรากฏตัวบนโลกอีกเลย เวลานี้มองดูแล้ว ชนเผ่าบาปพวกเจ้าได้เข้าไปอยู่ในป่ารกร้างจริงๆ เพียงแต่ไม่ได้หายสาปสูญไป!”

พวกคนกลุ่มนั้นถึงกับจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ในเวลานี้ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของผู้เฒ่า และในขณะนี้ แววตาของพวกเขาที่มีต่อหลี่ชิเย่จะมากหรือน้อยก็มีความเป็นศัตรูอยู่บ้าง

จะอย่างไรเสีย ในบรรดาพวกเขามีอยู่ไม่น้อยที่มีชาติกำเนิดมาจากหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากหลี่ชิเย่มีชาติกำเนิดมาจากชนเผ่าบาป ซึ่งชนเผ่าลักษณะเช่นนี้เป็นชนเผ่าที่หอจรัสศักดิ์สิทธิ์พวกเขารังเกียจ และขับไล่ออกไป ทำให้พวกเขาได้ถือเอาหลี่ชิเย่เป็นศัตรูอยู่ภายในใจอยู่แล้ว

“ฟังมาว่าบรรพบุรุษของชนเผ่าบาปนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนชั่วที่ไม่อาจให้อภัยทั้งสิ้น ในใจมีแต่ความชั่วร้าย กระทั่งเป็นพวกที่มาจากจอมมารแห่งความชั่วร้าย เกรงว่าชนรุ่นหลังของชนเผ่าบาปต่างก็มีจิตใจที่มืดดำ ถือเป็นคนของความมืดดำ” มีชายหนุ่มที่มีอายุค่อนข้างมากรู้เรื่องเกี่ยวกับคำเล่าลือของชนเผ่าบาปมาบ้าง จึงได้เอ่ยขึ้นมา

“มาจากความชั่วร้าย…” เมื่อกลุ่มคนกลุ่มนี้ได้ยินคำพูดเช่นนี้ พลันมีกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว พวกเขาจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ แววตายิ่งดูไม่เป็นมิตรมากขึ้น ความเป็นศัตรูยิ่งชัดเจนมากขึ้น

“ความรู้แค่ผิวเผินเท่านั้น” หลี่ชิเย่ยิ้ม ส่ายหน้า และกล่าวว่า “ต่อให้บรรพบุรุษข้าเป็นชนเผ่าบาป หรือว่าข้าก็คือคนชั่วอย่างนั้นรึ?”

“ฮึมันก็พูดยาก” มีคนผู้หนึ่งที่มีแสงสว่างแผ่ออกมาจากตัวกล่าวเย็นชาขึ้นมาว่า “สันดานสุนัขย่อมแก้ไม่ได้ต้องกลับไปกินอุจจาระอยู่แล้ว บรรพบุรุษคือคนชั่วที่ไม่อาจให้อภัยได้ เกรงว่าชนรุ่นหลังก็คงดีกว่ากันไม่เท่าไร”

“ชนเผ่าบาปไม่ได้ปรากฏตัวมานานมากแล้ว” ท่าทางของผู้เฒ่าผู้นั้นดูระมัดระวัง กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “มาวันนี้ชนเผ่าบาปปรากฏอยู่ตรงนี้นับว่าเหนือความคาดคิดโดยแท้ อีกทั้ง เร็วๆ นี้ภายในป่ารกร้างเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ประหลาด มีความมืดลอยขึ้นมา ฟังว่าเป็นการทำพื้นที่ให้เป็นแดนมาร บางทีในที่นี้อาจเกี่ยวพันกันก็ไม่แน่”

“ไม่แน่นักเป็นฝีมือของชนเผ่าบาปพวกเขาที่ก่อเรื่องขึ้นมา” มีผู้ที่จับเอาเรื่องนี้ตั้งข้อสงสัยบนตัวของหลี่ชิเย่และร้องกล่าวเสียงดังขึ้นมา

ในเวลานี้ บรรดาพวกเขาได้มีผู้ที่เดินเข้ามาล้อมหลี่ชิเย่เอาไว้แล้ว และค่อยๆ ชักอาวุธออกมาช้าๆ ท่าทางจะไม่เป็นผลดีต่อหลี่ชิเย่

“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?” หลี่ชิเย่มองดูพวกเขาที่ค่อยๆ ล้อมวงเข้ามาแวบหนึ่ง

“พูดมา เป็นฝีมือของชนเผ่าบาปพวกเจ้าใช่หรือไม่?” ชายหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มคนที่เข้ามาล้อมหลี่ชิเย่เอาไว้ร้องเสียงดังขึ้นมา และกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า ”ชนเผ่าบาปพวกเจ้าคิดไม่ดีต่อหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ และหรือพวกเจ้าฝังแค้นในใจจากการที่บรรพบุรุษของพวกเจ้าถูกขับไล่ไปในครั้งนั้น ดังนั้นจึงคิดหวนกลับมาอีกครั้ง”

“จินตนาการพวกเจ้ามากเหลือเกิน” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “พวกเจ้ามีจินตนาการที่เยี่ยมขนาดนี้ไม่ไปเล่านิทานกลับมาฝึกปรือ นับว่าเสียดายพรสวรรค์โดยแท้”

“อย่าทำพูดจาเฉไฉ” ดวงตาทั้งสองของชายหนุ่มผู้นั้นที่มีแสงสว่างแผ่ออกมาจากตัวดูดุดัน กล่าวน่าเกรงขามขึ้นว่า “รีบสารภาพมาเร็วไว มิฉะนั้นล่ะก็ น่าดู”

“ผู้อาวุโส เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่” ชายวัยกลางคนที่มีหน้าผากกว้างโหนกนูนไม่สู้จะมั่นใจนัก มองดูหลี่ชิเย่หลายครั้ง ในความคิดของเขามองว่าหลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่น่าเป็นไปได้ที่สามารถสร้างแผนร้ายยิ่งใหญ่ได้ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นบุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความมืดได้

“ทุกอย่างระวังหน่อยเป็นดีที่สุด” ผู้เฒ่าผู้นี้กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “มีผู้ที่เข้าไปในป่ารกร้างและส่งข่าวกลับมาว่า สภาพการณ์ภายในหนักหนาสาหัสกว่าที่คิดเอาไว้ ความมืดอาละวาด เกรงว่าจะไม่เป็นมงคล”

ชายวัยกลางคนมองดูหลี่ชิเย่อีกแวบหนึ่ง และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เช่นนั้นแล้วความทำอย่างไรดี?”

จะอย่างไรเสียหลี่ชิเย่ไม่ได้ทำเรื่องที่เลวร้ายโหดร้ายทารุณไร้มนุษยธรรมอะไร ต่อให้มีชาติกำเนิดเป็นชนเผ่าบาป พวกเขาก็ไม่สามารถให้หลี่ชิเย่ต้องได้รับความไม่เป็นธรรม และหรือบอกว่าจะจัดการอย่างไรกับหลี่ชิเย่

เพียงได้ยินเสียง ยังไม่ทันได้เห็นตัวก็ทำให้จิตใจหวั่นไหวเสียแล้ว คนยังมาไม่ถึง แสงสว่างได้ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาคแล้ว

ในเวลานี้ มองเห็นแสงสว่างเสมือนดั่งสายน้ำไหลอย่างนั้นที่ไหลรินเข้ามาถึงไร้ซุ่มไร้เสียง ขณะที่แสงสว่างโปรยปรายลงมา บนพื้นดินเสมือนดั่งได้ปูทับหิมะชั้นหนึ่ง

ลักษณะของแสงสว่างที่ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาคนั้น นอกเหนือจากความอบอุ่นท่ามกลางความสว่างแล้ว ยังมีกลิ่นอายที่ใสสะอาดสายหนึ่ง โดยกลิ่นอายสายสะอาดสายนี้เมื่อทำความรับรู้อย่างละเอียดจะพบว่า มันเสมือนหนึ่งเป็นสายลมที่อบอุ่นสายหนึ่งซึ่งพัดโชยมาจากบริเวณที่มีหิมะและน้ำแข็งปกคลุมไปทั่ว สามารถทำให้ผู้คนมีสมองที่ปลอดโปร่ง

ในเวลานี้ แสงสว่างโปรยปรายลงมา ผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตรงหน้าทุกคน ขณะที่ผู้หญิงคนนี้ปรากฎตัวขึ้นมานั้น คนกลุ่มนี้ต่างทยอยกันแสดงคารวะเป็นการใหญ่ ท่าทีเต็มไปด้วยความเคารพยิ่ง

ผู้หญิงคนนี้มองดูแล้วอ่อนเยาว์มาก ราวๆ ยี่สิบเศษ มีรูปโฉมที่ลงดงามมาก รูปร่างที่สูงโปร่ง รูปโฉมงดงามดั่งนกเป็ดน้ำลืมบินจนตกจากฟ้า มัจฉาลืมว่ายจมลงใต้น้ำ ด้วยชุดสีขาวทั้งชุดยิ่งเป็นการขับให้นางดูโดดเด่นจนฝุ่นผงไม่อาจแปดเปื้อน ที่ทำให้ผู้คนหลงใหลยิ่งกว่าก็คือผมสีขาวทั้งหัวที่ยาวปะบ่า ส่งผลให้นางแลดูไปแล้วเสมือนดั่งเป็นองค์หญิงที่ก้าวออกมาจากพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็งอย่างนั้น

แต่ทว่า ขณะที่ผู้หญิงคนนี้ยืนอยู่ที่ตรงนั้น สิ่งที่ทำให้เป็นที่สังเกตของผู้คนหาใช่รูปโฉมที่งดงามของนาง แต่เป็นประกายศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งออกมาจากตัวของนาง

บนตัวของผู้หญิงคนนี้เปล่งเป็นแสงสว่างที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่านางจะยืนอยู่ที่ใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่แสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาคทั้งสิ้น และจากการที่ปีกแสงซึ่งงอกอยู่ด้านหลังกระพือไปมาเบาๆ นั้น แสงสว่างเสมือนดังอนุภาคแสงจำนวนนับไม่ถ้วนที่โปรยปรายลงมา ทำให้ฟ้าดินบริสุทธิ์ ขับไล่ความมืดทุกอย่าง

หญิงสาวผู้หนึ่งที่ไม่เพียงมีรูปโฉมงดงามน่าประทับใจแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้หญิงที่มีแสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค มีความศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจล่วงเกินผู้หนึ่ง

ขณะที่ผู้หญิงผู้นี้ปรากฏตัว ได้ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายถึงกับเงยหน้ามอง

ด้านหลังของผู้หญิงคนนี้มีชายหญิงกลุ่มคนรุ่นใหม่ติดตามอยู่ไม่น้อย พลันที่มองเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นอัจฉริยบุคคลผู้มีความฉลาดเป็นเลิศทั้งสิ้น

“ฝ่าบาท…” คนกลุ่มนี้ต่างทยอยกันแสดงคารวะด้วยท่าทีที่เคารพนอบน้อมเมื่อเห็นหญิงสาวผู้นี้แล้ว และมีชายหญิงจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกเลื่อมใสในตัวนาง

หญิงสาวผู้นี้มีแสงสว่างที่ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค แต่ว่า เมื่อรับรู้ให้ละเอียดอีกครั้งก็จะรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายราชันแท้จริงบนตัวของนางที่ตลบอบอวลไม่จางหาย

ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า หญิงสาวผู้นี้ถึงกับเป็นราชันแท้จริง เพียงแต่ นางได้เก็บงำกลิ่นอายราชันแท้จริงของนางไว้เท่านั้น

…………………………………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล