สรุปตอน ตอนที่ 2902 ทุ่งหญ้าไร้ขอบเขต – จากเรื่อง ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล โดย Internet
ตอน ตอนที่ 2902 ทุ่งหญ้าไร้ขอบเขต ของนิยายActionเรื่องดัง ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ 2902 ทุ่งหญ้าไร้ขอบเขต
หลังจากที่หลี่ชิเย่ไปจากสวนดึกดำบรรพ์แล้วไม่ได้ออกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นการทะลุผ่านสวนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เข้าไปยังบริเวณที่ลึกยิ่งกว่าของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ แน่นอน หากพูดแบบกระบือดำขนาดใหญ่บริเวณนี้ไม่ถือเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ว่า ในทัศนะของผู้คนในหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด การก้าวข้ามสวนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แล้วก็คือบริเวณที่ลึกที่สุดของสวนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
ยามที่ก้าวข้ามสวนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อเข้าไปยังบริเวณที่ลึกกว่านั้น ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องที่อันตรายยิ่ง
ขณะที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เปิดให้เข้าชมนั้น ทางหอจรัสศักดิ์สิทธิ์เองก็เคยประกาศเตือนนักศึกษาทุกคน ไม่ควรไปเสี่ยงภัยก้าวข้ามสวนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โดยง่ายดาย แน่นอน หากนักศึกษาที่รนหาที่ตายเองต้องการก้าวข้ามสวนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เพื่อเข้าสู่บริเวณที่ลึกกว่าของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ทางหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่ไปก้าวก่าย
โดยทั่วไป กล่าวสำหรับนักศึกษาที่มีกำลังความสามารถอ่อน ไม่กล้าผลีผลามไปเสี่ยงภัย จะอย่างไรเสียพวกเขาต่างเคยได้ยินมาแล้วว่า ไม่เคยได้ยินว่าคนที่เข้าไปแล้วมีใครรอดชีวิตกลับออกมา
นักศึกษาที่มีกำลังความสามารถโดยแท้จริงยิ่งไม่กล้าไปเสี่ยงภัยโดยง่ายดาย เนื่องจากพวกเขารู้ถึงอันตรายที่อยู่ข้างใน พลังจรัสที่อยู่ด้านในนั้นทรงพลังยิ่งเหลือเกิน เมื่อใดที่ก้าวเท้าเข้าไปก็จะถูกพลังจรัสที่ทรงพลังปราศจากผู้เทียบเทียมจับและพันธนาการเอาไว้ ถึงตอนนั้นคิดจะออกไปก็คงยากเสียแล้ว
อีกทั้งการรั้งอยู่ข้างในยิ่งนานมากเท่าไร ก็ยิ่งไม่อยากออกไป ยิ่งต้องการรั้งอยู่ด้านในนั่น ทำให้ท้ายที่สุดแล้วไม่สามารถไปจากที่นั่นได้อีก สุดท้ายก็จะละสังขารในท่านั่งกรรมฐาน และสำเร็จกลายเป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่ยึดมั่นในความเป็นศิษย์อย่างแท้จริง
แน่นอนที่สุด นี่เป็นเพียงการพูดที่งดงามอย่างหนึ่งเท่านั้น พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เมื่อรั้งอยู่ข้างในนานเกินไป ก็จะถูกล้างสมองเป็นผลสำเร็จ สุดท้ายยินดีอุทิศตน กลายเป็นส่วนหนึ่งของฟ้าดินแห่งนี้ และละสังขารในท่านั่งกรรมฐานที่ตรงนั้น
เหมือนเช่นที่กระบือดำขนาดใหญ่พูดเอาไว้ว่า ถ้าหากเมื่อใดที่ละสังขารในท่านั่งกรรมฐานที่นั่น ก็จะเหมือนอิฐและกระเบื้องที่เป็นการเสริมฐานเต๋าให้กับหอจรัสศักดิ์สิทธิ์
ครั้นหลี่ชิเย่ก้าวข้ามสวนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เข้าสู่ทุ่งหญ้าที่กว้างขวางไร้ขอบเขต ขณะที่เหยียบเข้าไปยังทุ่งหญ้าที่กว้างขวางไร้ขอบเขตนี้จะไม่พบสิ่งผิดปรกติอะไร ยิ่งผู้ที่มีทักษะยุทธอ่อนก็ยิ่งจะไม่พบว่ามีปัญหาแต่อย่างใด
แต่ว่า เมื่อเจ้ามีความแข็งแกร่งอย่างเพียงพอแล้วก็จะพบว่า ที่ที่ตนเองเดินอยู่นี้ ไม่เหมือนเป็นทุ่งหญ้าที่กว้างขวางไร้ขอบเขต เหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงภาพเพ้อฝันอย่างนั้น
ไม่ว่าจะเป็นหญ้าหอมที่โอนเอนไปมาตามลม หรือจะเป็นสายลมที่พัดเข้ามา และหรือภูเขาแต่ละลูกที่มีอยู่กระจัดกระจายอยู่บนทุ่งหญ้าที่กว้างขวางไร้ขอบเขต เหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงภาพเพ้อฝันอย่างนั้น
หากมีความแข็งแกร่งเพียงพอ ถ้าหากมีสุดยอดอภินิหารสูงสุดก็จะสามารถมองเห็นว่า สิ่งที่ก้าวเดินไปมันเหมือนอยู่บนดาวเคราะห์สว่างอย่างนั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใต้เท้าล้วนแล้วแต่กำลังแผ่ความสว่างออกมา ความสว่างทุกๆ สายล้วนแล้วแต่กลายเป็นความจริง พวกมันกลายเป็นหญ้าหอมที่โอนเอนไปมาตามลม กลายเป็นสายลมที่พัดโชยเข้ามา กลายเป็นภูเขาแต่ละลูกที่ตั้งกระจัดกระจายอยู่บนทุ่งหญ้า…
เหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างในที่นี้ล้วนแล้วแต่แปลงมาจากความสว่าง นี่คือโลกแห่งความสว่าง ลึกลงไปใต้ดินบริเวณนี้เหมือนมีหัวใจความสว่างที่ทรงพลังยิ่งจนไม่สามารถจินตนาการได้ดวงหนึ่ง มันกำลังเต้น มันกำลังวิวัฒนาการทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้
ขณะที่เจ้าก้าวเดินอยู่บนทุ่งหญ้าที่กว้างขวางไร้ขอบเขตนี้ มันเป็นเพียงการก้าวเดินอยู่บนพื้นผิวด้านนอกของดาวเคราะห์สว่างเท่านั้นเอง
ดังนั้น เมื่อสามารถมองเห็นภาพนี้แล้ว ก็จะเข้าใจได้ว่าเพราะอะไรกระบือดำขนาดใหญ่จึงพูดว่า สถานที่ตรงนี้ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้ว เป็นความจริงที่มันเป็นคนละอย่างกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เป็นดินแดนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
แน่นอนที่สุด ถ้าหากไม่สามารถมองเห็นธาตุแท้ของมัน เช่นนั้นแล้วเจ้ายังคงเข้าใจว่าตนเองนั้นก้าวเดินอยู่บนทุ่งหญ้าที่ไร้ขอบเขต นี่คือทุ่งหญ้าที่สงบปลอดภัยและเงียบสงบ ยามที่สายลมพัดโชยมานั้น ช่างสุขสบายอะไรอย่างนั้น ช่างเป็นอิสระเสรีอะไรอย่างนั้น ทำให้ผู้คนมีความรู้สึกที่พอใจอย่างบอกไม่ถูก
ขณะที่ก้าวเดินบนทุ่งหญ้าที่ไร้ขอบเขต จะพบว่ามีศพอยู่จำนวนไม่น้อย แต่ว่า ขณะที่พบเห็นศพเหล่านี้จะไม่รู้สึกว่ามีอะไรน่ากลัว
ศพเหล่านี้บ้างนั่งคุกเข่าอยู่ท่ามกลางพงหญ้า และมีที่นั่งอยู่ในถ้ำ และมีที่นั่งก้มหน้าอยู่ใต้หน้าผาสูงชัน…
ท่าทางของศพเหล่านี้ตายอย่างสงบยิ่งนัก พวกเขาล้วนแล้วแต่หันหน้าไปทิศทางเดียวกัน ท่าทีสงบนิ่ง เหมือนว่าเป็นการนั่งละสังขารอยู่ตรงนั้นในช่วงเวลาที่พวกเขาสบายใจ มีความสุขมากที่สุด พวกเขาจากโลกนี้ไปด้วยท่าทีที่สงบสุขที่สุด
อย่างไรก็ตาม ศพเหล่านี้ไม่ทราบว่าได้ละสังขารไปนานเท่าไรแล้ว เหมือนว่าได้ผ่านไปพันล้านปีแล้ว แต่ว่า พวกเขายังคงสภาพตามเดิมอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อฟ้าหรือหมวก หรือจะเป็นร่างกายล้วนแล้วแต่เป็นระเบียบอย่างยิ่ง กระทั่งไม่มีฝุ่นทีลงจับบนตัวของพวกเขา
เหมือนว่าพวกเขาก่อนตายได้จุดธูปอาบน้ำมาแล้ว อาศัยร่างกายที่สะอาด และเป็นระเบียบเรียบร้อยที่สุดจากโลกนี้ไป
เนื่องเพราะพวกเขาได้จากโลกนี้ไปด้วยลักษณะเช่นนี้ ทำให้พวกเขาแลดูเหมือนเป็นรูปแกะสลักแต่ละรูปอย่างนั้น ไม่เหมือนเป็นคนตาย
แน่นอน หากเวลานี้สามารถสำแดงอภินิหารยิ่งใหญ่ล่ะก็ แล้วมองดูผู้ตายเหล่านี้อย่างละเอียดก็จะพบว่า ผู้ตายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่กลับกลายเป็นความสว่างไปทั่วตัว ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของพวกเขา หรือเสื้อผ้า ล้วนแล้วแต่ได้กลายเป็นความสว่างไปแล้ว มองเห็นเปลวเพลิงแสงสว่างที่ร้อนแรงได้เติมเต็มร่างกายของพวกเขาทุกๆ ส่วนของเขา
หลี่ชิเย่ทอดถอนใจเบาๆ มองดูผู้ที่ตายไปแล้วเหล่านี้ ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “เมื่อถึงที่สุดแล้ว ความสว่างก็ดี ความมืดก็ช่าง ล้วนแล้วแต่เป็นวิชามาร ล้วนแล้วแต่หลอกลวงคนอื่นเท่านั้นเอง ให้อาณาประชาราษฎร์ของฟ้าดินกลายเป็นสาวกของตน สุดท้ายบรรลุถึงเป้าหมายในการทำให้ตนเติบโตขึ้น”
สำหรับเบื้องหลังที่ลึกซึ้งยอดเยี่ยมนั้น หลี่ชิเย่ย่อมเข้าใจทะลุปรุโปร่าง ไม่ว่าจะเป็นที่ตรงนี้ หรือที่ราบสูงฝังพุทธะ ความจริงแล้วธาตุแท้เบื้องหลังเหมือนกัน เพียงแต่รูปแบบไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง
ด้านหน้าของภูเขาลูกนี้มีต้นไม้แก่ต้นหนึ่ง ต้นไม้แก่ต้นนี้ไม่นับว่าสูงใหญ่อะไร ต้นไม้แก่เรียกได้ว่าผ่านกาลเวลามาอย่างโชกโชน ผิวมันที่หนาเตอะของมันเหมือนทิ้งร่องรอยกาลเวลาที่นับไม่ถ้วนเอาไว้
พลันที่ผู้คนพบเห็นต้นไม้แก่ลักษณะเช่นนี้ก็รู้ได้ทันทีว่า มันได้เจริญเติบโตมาเป็นเวลานานนับไม่ถ้วน เหมือนว่าพื้นดินแห่งนี้ขาดแร่ธาตุมากเกินไป แม้ว่ามันจะเจริญเติบโตที่นี่มานานนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่สามารถทำให้มันเติบโตสูงใหญ่ขึ้นมาได้
ด้วยต้นไม้แก่ลักษณะเช่นนี้ต้นหนึ่ง สังเกตุให้ละเอียดก็ไม่สามารถมองออกว่ามันมีตรงไหนที่เป็นพิเศษ
แต่ว่า หากเป็นราชันแท้จริงที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง และสามารถเปิดเนตรฟ้าที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองขึ้นมาในเวลานี้ อาศัยสุดยอดความรู้แจ้งสูงสุดไปมองดูต้นไม้แก่ต้นนี้ก็จะได้พบเห็น
นี่คือต้นโพธิ์สูงสุดต้นหนึ่ง ต้นโพธิ์สูงสุดต้นนี้เสมือนได้ก้าวข้ามอดีตปัจจุบัน กิ่งทุกๆ กิ่ง ใบทุกๆ ใบล้วนแล้วแต่แผ่ประกายที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดออกมา
ประกายศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวกับประกายศักดิ์สิทธิ์ของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์มีส่วนที่เหมือนกัน แต่ก็มีส่วนที่แตกต่างกัน
ความจริงแล้ว ความสว่างของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยความเย้ายวน เย้ายวนให้ถวายตัวเป็นศิษย์ ขณะที่ประกายของต้นโพธิ์ต้นนี้เหมือนว่าสงบอะไรอย่างนั้น มันช่างมีความให้อภัยอะไรอย่างนั้น เหมือนว่ามันสามารถโอบกอดทุกสิ่งทุกอย่างได้
มันสามารถโอบกอดได้ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะเลื่อมใสศรัทธาในความสว่างหรือไม่ มันสามารถโอบกอดยามที่เจ้าผิดหวัง ยามที่เจ้าคิดจะไปจากมันก็แลดูเป็นธรรมชาติอะไรอย่างนั้น มันจะไม่เหนี่ยวรั้งเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเจ้ามองเห็นประกายเช่นนี้ก็จะนึกถึงคำๆ หนึ่ง นั่นก็คือเวทนาสงสาร ขณะเดียวกันยังจะนึกถึงคำอีกคำหนึ่ง นั่นก็คือโอบอ้อมอารี!
นี่แหละคือธาตุแท้ของมัน นี่คือต้นโพธิ์ที่ยากจะหาใดเทียมในหล้าต้นหนึ่ง เพียงแต่ ต้องเป็นผุ้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง เป็นผู้ที่มีความรู้แจ้งอย่างเพียงพอ จึงสามารถมองเห็นร่างที่แท้จริงของมัน
มิฉะนั้นล่ะก็ เจ้าเป็นเพียงบุคคลธรรมดาๆ คนหนึ่ง และหรือกำลังความสามารถไม่แข็งแกร่งพอ ในสายตาของเจ้า ต้นไม้แก่ต้นนี้เป็นเพียงต้นไม้แก่ที่ธรรมดาๆ ต้นหนึ่งเท่านั้น มีเพียงเท่านี้เอง
ตึง ตึง ตึงในเวลานี้เอง เสียงสิ่วเจาะหินดังขึ้นเป็นระลอก โดยเสียงสิ่วเจาะหินที่ดังเป็นระลอกนี้ได้สะท้อนก้องอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัด เมื่อตั้งใจฟังให้ดี เสียงสิ่วที่เจาะหินนี้เปี่ยมด้วยจังหวะจะโคน ช่างเป็นท่วงทำนองจังหวะอะไรอย่างนั้น
…………………………………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...